ธาตุเหล็ก (Iron; Fe)

Thirasak Chuchoet • July 30, 2024
อาการขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency)​

ลักษณะ​ใบเหลืองซีดหรือซีดขาว โดยเส้นกลางใบและเส้นใบย่อยมีสีเขียวอ่อน ซึ่งเกิดขึ้นกับใบอ่อน-ใบเพสลาด

ธาตุเหล็ก (อังกฤษ​: Iron, สัญลักษณ์​ธาตุ​: Fe)​

    ธาตุเหล็ก​ที่พืชสามารถ​ใช้ได้ มี 2 รูป​ ซึ่งอยู่ในรูปสารละลายไอออนประจุบวกสอง​ หรือไอออนประจุบวกสาม​ ดังนี้ 

    ・เฟอร์​รัสไอออน​ (Ferrous ion; Fe2+)

    ・เฟอร์​ริคไอออน (Ferric ion; Fe3+)​

[เพิ่มเติม: ไอออน​ เขียนด้วยตัวยก หลังสัญลักษณ์​ธาตุและระบุจำนวนไอออนด้านหน้าเครื่องหมายประจุไอออนบวก​ (+)​ หรือ​ ประจุไอออนลบ​ (-)​, ถ้าประจุหนึ่งบวก​ไม่นิยมเขียนเลขกำกับ​]​

    โดยทั่วไปปริมาณธาตุเหล็กที่เพียงพอต่อพืช จะมีปริมาณราว 50-250 มก.ต่อเนื้อเยื่อแห้ง 1 กก. หรือ 50-250 ppm อาการขาดธาตุเหล็กในพืชทุก​ชนิด จะแสดงอาการขาดที่ใบอ่อน​ ยอดอ่อนก่อน เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นธาตุที่เคลื่อนย้ายได้ปานกลางในต้นพืช (intermediate mobility)​

    ลักษณะ​อาการขาดธาตุ​เหล็ก คือ ใบอ่อนหรือยอดอ่อนจะมีสีเหลืองซีด และต่อมาสีจะซีดขาว​ แต่เส้นกลางใบยังมีสีเขียว​ เป็นผลมาจากขาดคลอโรฟิลล์ที่เป็น​รงควัตถุสีเขียว​ที่ใช้สำหรับการดูดกลืนคลื่นแสงเพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานชีวเคมี​ เรียกอาการใบเหลืองนี้ว่า​ อาการ​คลอโรซีส (chlorosis)​ หากอาการขาดรุนแรงและต่อเนื่อง​ อาจพบอาการขอบใบ หรือปลายใบไหม้ร่วมด้วย (die back)

[เพิ่มเติม: คลอโรฟิลล์​ หรือรงควัตถุสีเขียว​ ทำหน้าที่ดูดกลืนคลื่นแสงและเปลี่ยนเป็นพลังงานชีวเคมีโดยการถ่ายทอดอิเล็กตรอน กระบวนการสังเคราะห์แสงจะได้สารอาหารให้พลังงาน​ คือ​ น้ำตาล​ โดยน้ำตาลแรกที่ได้​ คือ​ น้ำตาลไตรโอส​ (triose)​ หลังจากนั้นพืชจึงนำไปสังเคราะห์เป็นน้ำตาลกลูโคส และเปลี่ยนเป็นน้ำตาลซูโครสเพื่อลำเลียงไปยังส่วนอื่นๆ ของพืช​ รงควัตถุสีเขียว​สะท้อนแสงสีเขียว​ จึง​ไม่ดูดกลืน​แสงสีเขียว​ ดังนั้นการใช้สแลนสีเขียวพร่าง​แสงจึงไม่ควรทำ]​

สาเหตุการขาดจุลธาตุ

1. ใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสมากเกินความจำเป็น

    ปุ๋ยฟอสฟอรัสเมื่อละลายน้ำ​ จะอยู่ในรูปสารละลายไอออนฟอสเฟต​​ 3 ชนิด คือ

    ・pH ดินน้อยกว่า​ 6.8​ (ดินเป็นกรด)​: สารละลายฟอสเฟตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปสารละลายไอออนของ​ “ไดไฮโดรเจนฟอสเฟต​ (H2PO4-)”​ มีประจุลบหนึ่ง​ เป็นรูปสารละลายฟอสเฟตที่รากพืชใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด

    ・pH ดินระหว่าง​ 6.8-7.2 (ดินเป็นด่างเล็กน้อย)​: สารละลายฟอสเฟตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปสารละลายไอออนของ  ​“ไฮโดรเจนฟอสเฟต​ (HPO42-)” มีประจุสองลบ

    ・pH ดินมากกว่า​ 7.2 (ดินเป็นด่าง)​: สารละลายฟอสเฟตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปสารละลาย “ไอออนฟอสเฟต​ (PO43-)” มีประจุสามลบ

    จะสังเกตได้ว่า “ฟอสฟอรัสเมื่อละลายจะมีสถานะประจุไฟฟ้าเป็นลบ”​​ ดังนั้น​ ไอออนประจุลบของฟอสเฟตจึงร่วมตัวกับไอออนของธาตุอื่นที่เป็นสารละลายไอออนประจุบวกได้ง่าย  ​เนื่องจากสารประกอบฟอสเฟต​ออกไซด์ไม่มีความเสถียร จึงจับกับธาตุประจุบวกเพื่อให้เสถียร แต่ผลที่ตามมาคือตกตะกอน เป็นผลึกเกลือฟอสเฟตและไม่เป็นประโยชน์ต่อพืช

    จุลธาตุที่เมื่อละลายน้ำและมีสถานะเป็นไอออนประจุบวก​ ได้แก่

    ・ ธาตุเหล็ก​: เฟอร์​รัสไอออน​ (Fe2+)​ และเฟอร์​ริคไอออน (Fe3+)​

    ・ ธาตุสังกะสี​: ซิงค์ไอออน​ (Zn2+)​

    ・ ธาตุแมงกานีส​: แมงกานีสไอออน​ (Mn2+)​

    ・ ธาตุทองแดง: คอปเปอร์ไอออน​ (Cu2+)​

    และอีก​ 1 จุลธาตุที่ได้รับการยอมรับเป็นธาตุอาหารพืช​ คือ​ นิเกิ้ล (นิเกิ้ลไอออน​ : Ni2+)​

    นอกจากนี้ธาตุรองอย่างแคลเซียม​และแมกนีเซียม​ มีสถานะไอออนประจุบวก​เช่นกัน

    เมื่อสารละลายที่มีสถานะไอออนประจุลบและบวกอยู่ใกล้กันจะเกิดแรงดึงระหว่างสารละลายเกิดขึ้นและเชื่อมต่อกันด้วยพันธะไอออนทั้ง​ 2 (แลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนรอบนอกตามกฎออกเตด)​ เรียกพันธะที่เกิดขึ้นนี้ว่า  ​“พันธะไอออนิก (ionic bond)” กรณีฟอสเฟตกับจุลธาตุและธาตุรองก็เช่นกัน​ เมื่อเกิดการรวมกันขึ้นจะกลายเป็นผลึกเกลือของฟอสเฟตและละลายน้ำได้น้อยมาก​ จนพืชไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้​ เป็นเหตุให้พืชขาดธาตุเหล่านี้

   ・pH ดินน้อยกว่า​ 6.8​​: เกิดผลึกจุลธาตุฟอสเฟตรุนแรง

   ・pH ดินระหว่าง​ 6.8-7.2: เกิดผลึกจุลธาตุฟอสเฟตรุนแรง​ ได้แก่​ ซิงค์ฟอสเฟต​ และคอปเปอร์ฟอสเฟต​ และเกิดผลึกแคลเซียมฟอสเฟต​ และแมกนีเซียมฟอสเฟตปานกลาง

   ・pH ดินมากกว่า​ 7.2: เกิดผลึกจุลธาตุฟอสเฟตเล็กน้อย​ (เนื่องจากจุลธาตุละลายได้น้อยลง)​ เกิดผลึกแคลเซียมฟอสเฟต​ และแมกนีเซียมฟอสเฟตรุนแรง​ ยิ่งดินเป็นด่างมากยิ่งรุนแรง

[เพิ่มเติม: ฟอสเฟตไอออน​ มักรวมตัวกับธาตุอื่นในสัดส่วน​ 1 ต่อ​ 2​ หรือ​ 1 ต่อ​ 3 ทำให้ธาตุอื่นสูญเสียมาก​]​

2. สภาพดินปลูก 

    ・กรด-ด่างของดิน​ (pH ดิน)​ : ในดินด่างที่มี​ pH มากกว่า​ 7.5​ ขึ้นไป​ ความสามารถในการละลายของธาตุสังกะสี​ เหล็ก​ แมงกานีส​ และทองแดง​ จะน้อยมาก​ ทำให้มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช​ โดยเฉพาะเมื่อพืชเจริญ​เติบโต​เพิ่มขึ้น

    ・ดินเหนียว​ หรือดินที่มีโครงสร้างเป็นดินเหนียวมากกว่าดินชนิดอื่น​: ดินเหนียว​ เหนียวตามชื่อ​ คือ​ "ขี้เหนียว" ธาตุอาหารที่ละลายอยู่ในรูปสารละลายไอออนประจุบวกจะถูกดินเหนียวตรึงอยู่กับผิวดิน​ (อนุภาคดิน)​ และไม่ปลดปล่อยให้พืช​ มีเพียงรากพืชไม่กี่ชนิดที่มีความสามารถในการปล่อยกรดเอนไซม์ไปสลายแรงตรึงระหว่างดินเหนียวกับธาตุออกมาใช้ได้​ ด้วยเพราะสภาพผิวของอนุภาค​ดินเหนียวอุดมไปด้วยไอออนประจุลบมหาศาล​

    ・ดินทราย​: ดินทรายมีขนาดเม็ดดินใหญ่กว่าดินชนิดอื่นๆ​ และไม่มีคุณสมบัติในการดูดซับแร่ธาตุ​และน้ำ​ ดังนั้น​ ดินทรายจึงสูญเสียธาตุอาหารพืชได้ง่ายที่สุดและสูญเสียไวมาก

    ・ดินขาดอินทรีย์วัตถุ​: แหล่งของจุลธาตุและธาตุกำมะถัน​นอกจากได้มาจากการย่อยสลายของหินแร่แล้ว อินทรีย์​วัตถุก็เป็นแหล่งที่สำคัญเช่นกัน​ นอกจากนี้อินทรีย์​วัตถุ​ยังช่วยดูดซับแร่ธาตุและปลดปล่อยช้าๆ​ ให้กับรากพืช

3. สภาพอากาศ​

    ช่วงที่ฝนตกชุก ฟ้าปิดต่อเนื่องนานหลายวันหรือเป็นสัปดาห์ จะทำให้พืชขาดธาตุอาหารได้​ โดยเฉพาะธาตุรองและจุลธาตุ​ เนื่องจากปากใบพืชปิด​ อัตราการคายน้ำลดลง​  การใช้น้ำและธาตุอาหารของรากสัมพันธ์​กับอัตราการคายน้ำ​ ดังนั้น​ ในช่วงฟ้าปิด​ ฝนไม่ตกควรพ่นธาตุอาหารเสริมทางใบ โดยเฉพาะในระยะวิกฤติของพืช​ เช่น​ ระยะมีดอก​ ผลอ่อน​ ผลกำลังขยาย​ หรือช่วงแตกใบอ่อน

การแก้ไขอาการขาดธาตุเหล็ก

    1. กรณีใช้ปุ๋ยฟอสฟอสรัสมากเกินความจำเป็น: แก้ไขโดยงดหรือลดการใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง​ เช่นสูตร​ 15-15-15, 16-16-16, 17-17-17, 19-19-19, 13-13-21, 12-12-17, 8-24-24, 7-21-21, 9-24-24 เป็นต้น

    2. สภาพดิน

    ・ดินเหนียว: ถ้า​ดินมีความเป็นด่างควรหว่านด้วย​ยิบซั่ม​ อัตรา​ 100 กรัมต่อเส้นผ่าศูนย์กลาง​ทรง​พุ่ม 1​ เมตร​ โดยหว่านหรือโรยรอบโคนต้นและเขตรากเดือนละครั้ง​ (เฉลี่ยในไม้ผล​ 180-200 กก.ต่อไร่) ถ้าดินมีความเป็นกรด​ ควรหว่าน​ด้วยโดโลไมท์ (ตัวอย่างเช่น กรีนลีฟMIC เป็นโดโลไมท์บดผงละเอียดมากกว่า 350-400 เมซ แล้วปั้นเม็ดผสมแร่จากภูเขาไฟ, เกาลีน, ซิลิกอน​ และเพอร์ไลท์ จึงมีจุลธาตุชนิดต่างด้วย)​ หว่านในอัตรา​ 100-250 กรัมต่อเส้นผ่าศูนย์กลาง​ทรง​พุ่ม 1​ เมตร​ หว่านในลักษณะเดียวกับยิบซั่ม โดยหว่านเดือนละครั้ง

*หมายเหตุ​ การหว่านยิบซั่มร่วมกับโดโลไมท์มีแนวโน้มให้ผลดีกว่าการหว่านอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ・ดินทราย​: แก้ไขโดยการหว่านปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกที่หมักเป็นผงละเอียดแล้ว​ ควรหว่านในอัตราและลักษณะเช่นเดียวกับการหว่านโดโลไมท์หรือยิบซั่ม​​

    ・ดินเป็นด่างจัด เติมอินทรีย์​วัตถุ​หรือปุ๋ยอินทรีย์ และใช้ปุ๋ยไนโตรเจนจากปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (ปุ๋ยสูตร 21-0-0) ซึ่งอาจใช้วิธีผสมปุ๋ยสูตร 21-0-0 อัตรา 25 กก. ร่วมกับปุ๋ยสูตร 15-5-25 อัตรา 75 กก. จะได้ปุ๋ยสูตร 17-4-19 โดยหว่านในอัตรา 100-120 กรัม ต่อเส้นผ่านศูนย์กลางทรงพุ่ม 1 เมตร ต่อเดือน กรณีดินเป็นดินทรายควรแบ่งปุ๋ยหว่านให้ถี่ขึ้น 2-3 ครั้งต่อเดือน

    นอกจากนี้ การหว่านปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกหมักแล้ว จะช่วยเพิ่มจุลธาตุแก่ดินด้วย

    3. เมื่อพืชเริ่มแสดงอาการขาดจุลธาตุ​ ควรพ่นจุลธาตุทางใบในอัตราสูงและถี่กว่าอัตราแนะนำการใช้จุลธาตุทั่วไป ซึ่งจะสามารถแก้ไขอาการขาดจุลธาตุได้เร็วที่สุด​ เนื่องจากเป็นธาตุที่พืชต้องการน้อยมาก​แต่มีความสำคัญ​ การพ่นจุลธาตุทางใบแม้พืชจะดูดซึมได้น้อยแต่ก็เพียงพอต่อความต้องการ​ หากสามารถแยกอาการขาดจุลธาตุได้ ควรเลือกใช้จุลธาตุเฉพาะตัวให้ตรงกับอาการขาดที่พบ​ หรือหากไม่สามารถแยกอาการได้ควรเลือกใช้จุลธาตุรวม​ 7-8 ชนิด (โดยทั่วไปมักพบอาการขาดจุลธาตุเหล็ก สังกะสี และแมงกานีสร่วมกัน)

    กรณี ขาดธาตุเหล็ก พ่นด้วย ไฮโดรเมทไอออน-อีดีทีเอ 13% (Fe-EDTA 13%) อัตรา​ 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ร่วมกับ ไฮโดรเมทมิกซ์-อีดีทีเอ (ธาตุรอง-จุลธาตุรวม 7 ชนิด) อัตรา 15-20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นทุก 4-5 วัน จนกว่าอาการจะทุเลา 

  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button

แหล่งสืบค้น:

   ลิลลี่ กาวีต๊ะ และคณาจารย์.2560.สรีรวิทยาของพืช.พิมพ์ครั้งที่ 4; กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.270 หน้า.

   ยงยุทธ โอสถสภา.2558.ธาตุอาหารพืช.พิมพ์ครั้งที่ 4; กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.548 หน้า.

   สมบุญ เตชะภิญญาวัฒน์.2544.สรีรวิทยาของพืช Plant physiology.พิมพ์ครั้งที่ 4; กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.237 หน้า.

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts