ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับยาไร

Thirasak Chuchoet • April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!

    กลไกการออกฤทธิ์ (Mode of Action;  MoA) ที่นำเสนอในบทความนี้ จะนำเสนอยากลุ่ม 19 ซึ่ง ทำให้แมลงเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง และความดันขึ้นสูงจนนำไปสู่อาการชักเกร็งกระตุกและเป็นอัมพาต คล้ายการเสพยาเสพติดประเภทกระตุ้นประสาท

กลไกออกฤทธิ์ของสารกำจัดไรศัตรูพืช (Mode of Action; MoA) 

    การจำแนกกลุ่มสารกำจัดแมลงและไรศัตรูพืช โดยจำแนกตามกลไกการออกฤทธิ์ ณ ตำแหน่ง (active site) หรือจุดจับ (binding site) ที่โปรตีนเป้าหมายของสารกำจัดแมลง มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดหรือชะลอการดื้อยาของแมลงและไรศัตรูพืช โดยควบคู่ไปกับการสลับกลุ่มสารตามกลไกการออกฤทธิ์

กลุ่ม 19: สารกำจัดไรศัตรูพืช

    สารในกลุ่มนี้มีเพียงชนิดเดียว คือ อะมิทราซ (amitraz) อยู่ในกลุ่มสารเคมีอะมิดีน (amidine) หรือฟอร์มามิดีน (formamidine) 

    ปัจจุบันจำหน่ายในประเทศไทยเพียง 1 ความเข้มข้น คือ อะมีทราซ 20% W/V EC 

คุณสมบัติ

      อะมิทราซ มีฤทธิ์ทางสัมผัสตาย (contact action) กินตายและการหายใจ (respiratory action) ไม่ดูดซึมเข้าสู่พืช (non-systemic)

ประโยชน์และการใช้

      อะมิทราซ ใช้ควบคุมกำจัดไรศัตรูพืชหลายชนิดและทุกระยะการเจริญเติบโต ได้แก่ 

        1. วงศ์ไรแดง-ไรแมงมุม (วงศ์ Tetranychidae) เช่น ไรแดงแอฟริกัน ไรแดงมะม่วง ไรแดงส้ม ไรแดงมันสำปะหลัง ไรแมงมุมคันซาวา เป็นต้น

        2. ไรในวงศ์ไรสี่ขา (วงศ์ Eriophyidae) ไรวงศ์นี้มีรูปร่างคล้ายตัวหนอน ได้แก่ ไรสนิมส้ม ไรกำมะหยี่ลำไย-ลิ้นจี่ ไรกระเทียม ไรสี่ขามะพร้าว เป็นต้น 

        3. ไรขาว วงศ์ Tarsonemidae เช่น ไรขาวพริก ไรขาวมะพร้าว

        4. ใช้กำจัดไข่และตัวอ่อนในระยะแรกของหนอนผีเสื้อกลางคืน เช่น หนอนชอนใบ และมีผลต่อเพลี้ยหอย เพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาวและเพลี้ยจักจั่นบางชนิด

        อะมิทราซ มีความเป็นพิษต่อตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของไรศัตรูพืชมากกว่าระยะไข่ แต่ก็ยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งการวางไข่และการฟักไข่ได้

อัตราการใช้:

        พ่น อะมิทราซ 20% EC อัตรา 40 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบการแพร่ระบาดของไร

  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button
กลไกการออกฤทธิ์ (Mode of Action;  MoA)

      สารกลุ่ม 19 กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง: กระตุ้นการทำงานของตัวรับออกโตพามีน (Octopamine receptors (OA) agonists) ในระบบประสาทส่วนกลางของแมลงและไรศัตรูพืช 

      ตัวรับออกโตพามีน เทียบได้กับตัวรับอะดรีนาลีน (adrenaline receptors) ในสัตว์มีกระดูกสันหลังหรือมนุษย์ ที่มีสารอะดรีนาลีนเป็นสารสื่อประสาทสำหรับกระตุ้นตัวรับอะดรีนาลีน

      ตัวรับออกโตพามีน (Octopamine receptors) มีสารสื่อประสาท คือ ออกโตพามีน ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการทำงาน (จึงมีชื่อว่า ตัวรับออกโตพามีน) ตัวรับจะตอบสนองและสั่งการระบบการทำงานของประสาทส่วนกลางเพื่อควบคุมร่างกายและตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม เมื่ออะมิทราซเข้าสู่ร่างกายแมลงหรือไรศัตรูพืช จะเข้าไปจับกับตัวรับออกโตพามีนทำให้แมลงเกิดการตื่นตัว ตื่นตระหนก สั่น และความดันสูงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากปกติสารสื่อประสาทเมื่อกระตุ้นตัวรับแล้วจะหลุดออกหรือสลายไปทำให้แมลงและไรตื่นตัวชั่วคราว

      การกระตุ้นตัวรับออกโตพามีนตลอดเวลาของอะมิทราซนำไปสู่อาการสั่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ หยุดกินอาหาร ช็อค และลาโลกไปในที่สุด

ภาพ: ตำแหน่งที่ "อะมีทราซ" เข้าไปจับกับ "ตัวรับออกโทพามีน" ซึ่งเป็นโปรตีนที่แทรกตัวอยู่ในเยื้อหุ้มเซลล์ประสาทตัวรับของระบบประสาทส่วนกลาง โดยอะมิทราซจะกระตุ้นการทำงานของตัวรับออกโทพามีนตลอดเวลา ทำให้ตัวรับปลดปล่อยอัลฟ่า-ฟอสโฟลิพิด ออกมาและถูกเปลี่ยนเป็นสารประกอบอนุพันธุ์ของน้ำตาลกลูโคสที่ชื่อ "อิโนซิทอลไตรฟอสเฟต (inositol triphosphate)" ไปกระตุ้นช่องโปรตีนของถุงเวสิเคิล (vesicle) ที่กักเก็บแคลเซียมไอออนให้ไหลออกมา แล้วไปกระตุ้นกระแสประสาทให้เกิดความตื่นตัวต่อเนื่องมากเกินไป (hyperarousal)

กลไกการดื้อยา (Resistance)

      เกิดขึ้นจากการใช้สารต่อเนื่องโดยไม่สลับกลุ่มยา จึงทำให้ไรสามารถสร้างความต้านทานต่อสารอะมิทราซ โดยส่วนใหญ่แมลงและไรศัตรูพืชสามารถพัฒนาเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยสลายสารพิษ (detoxification enzymes) เช่น เอนไซม์ไซโตโครม P450 โมโนออกซี่จีเนส, เอสเตอเรส และกลูตาไทโอน เอส-ทรานส์เฟอเรส เป็นต้น โดยเอนไซม์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอะมิทราซให้ไม่สามารถจับกับตัวรับออกโทพามีน ทำให้อะมิทราซไม่เกิดความเป็นพิษ

      กลุ่มสารกำจัดไรศัตรูพืช กลุ่มอื่นๆ ที่ใช้สลับกลุ่ม เช่น กลุ่ม 1A และ 1B บางชนิด, กลุ่ม 2B ฟิโพรนิล (เฉพาะไรขาว), กลุ่ม 6 อะบาเม็กติน, กลุ่ม 12, กลุ่ม 13, กลุ่ม 20, กลุ่ม 21A, กลุ่ม 23 และกลุ่ม 25 เป็นต้น

ข้อมูลจำเพาะของอามิทราซ

    โครงสร้างสูตรโมเลกุล

        ประกอบด้วย คาร์บอน 19, ไฮโดรเจน 23 และ ไนโตรเจน 3 อะตอม ( C₁₉H₂₃N₃)

    น้ำหนักโมเลกุลของสาร 

        ประมาณ 293.4 กรัม/โมล

    ชื่อ IUPAC 

        N,N'-[(Methylimino)dimethylidyne]di-2,4-xylidine 

    ชื่อไอโซเมอร์ PIN (Preferred Identification Name)

        N'-(2,4-dimethylphenyl)-N-{[(2,4-dimethylphenyl)imino]methyl}-N-methylmethanimidamide

    ความสามารถในการละลายในน้ำและตัวทำละลายอินทรีย์ต่างๆ

        อะมิทราซ ถือว่าไม่ละลายในน้ำหรือละลายได้น้อยมาก (organic sovent at 20 ํc) เท่ากับ 0.08-0.10 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg l⁻¹

        อะมิทราซ ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ (organic sovent at 20 ํc) เช่น 

          1. ตัวทำละลายโพรติกอะโพลาร์ เช่น DMF (30 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) และ DMSO (20-58 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)

          2. เอทานอล (2 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร) 

          3. ละลายได้เล็กน้อยในบัฟเฟอร์ที่เป็นน้ำ (0.33 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)

        *คุณสมบัติเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเลือกตัวทำละลายที่เหมาะสมสำหรับการผลิตอะมิทราซเป็นยา EC

    ความคงตัว (ต่อความร้อน แสง และการสลายตัวด้วยน้ำ (hydrolysis))

        - มีความคงตัวต่อความร้อนภายใต้สภาวะปราศจากความชื้น แต่สามารถสลายตัวอย่างช้าๆ ได้เมื่อมีความชื้น

        - แสง UV มีผลกระทบน้อย หรือมีความคงตัวต่อแสง UV

        - ความคงตัวต่อการไฮโดรไลซิสขึ้นอยู่กับค่า pH อย่างมาก อะมิทราซไม่เสถียรในน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาวะที่เป็นกรด จะเกิดการไฮโดรไลซิสอย่างรวดเร็วที่ pH 5 มีค่าครึ่งชีวิต 2 ชั่วโมง โดยมีความเสถียรเพิ่มขึ้นที่สภาวะ pH เป็นกลาง (pH 7, ค่าครึ่งชีวิต 1 วัน) และเป็นด่าง (pH 9, ค่าครึ่งชีวิต 1.1 วัน) 

        - การเติมแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (เพิ่มความเป็นด่างของน้ำ) สามารถช่วยให้อะมิทราซมีความเสถียรมากขึ้น

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
ปฏิสัมพันธ์ของธาตุอาหารพืช แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหารพืชในแง่ของการเจริญเติบโต
By Thirasak Chuchoet December 3, 2024
ปฏิสัมพันธ์ของธาตุอาหารพืช แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างธาตุอาหารพืชในแง่ของผลกระทบที่ธาตุอาหารมีผลต่อการดูดซึมและการใช้ประโยชน์ของพืชในกระบวนการเจริญเติบโต
More Posts