ไล่น้ำตาลลงท้องกิ่ง

Thirasak Chuchoet • July 23, 2024
ไล่น้ำตาลลงท้องกิ่ง​ หรือการสะสมอาหาร.!!
ไล่น้ำตาลลงท้องกิ่ง หรือการสะสมอาหาร​ (Carbohydrates and nutrients accumulation) 

    การสะสมอาหารในไม้ผล​ คือ​การเคลื่อนย้ายสารอาหารที่เหลือจากการใช้ไปเก็บสะสม​ โดยเฉพาะ​น้ำตาลและกรดอะมิโน​ ดังนั้น​ หากใบแก่สร้างน้ำตาลได้แค่เพียงพอต่อการใช้ในแต่ละวันหรือช่วงเวลาหนึ่งๆ​ การสะสมอาหารคงไม่เกิดขึ้น​ แต่ในสภาพความเป็นจริงหากไม่มีการแตกใบอ่อนอย่างต่อเนื่องหรือออกดอก-ติดผล ดกมากๆ​ การสะสมอาหารย่อมเกิดขึ้นหากพืชได้รับแสง​ น้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์​ อย่างเพียงพอ

   การสร้างน้ำตาลของพืช​

    การสร้างหรือผลิตน้ำตาลของพืช เกิดจากการสังเคราะห์​แสงโดยใช้วัตถุดิบ​ 2 อย่าง​ คือ

   1. น้ำ​ ได้ผ่านทางราก​: น้ำ​ราว​ 92-98% ถูกคายออกทางปากใบเพื่อรักษาอุณหภูมิ​ของใบ อีก​ราว 2-8% เก็บไว้ใช้

   2. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์​: แพร่ผ่านเข้าทางปากใบขณะคายน้ำ

    ซึ่งใช้แสงแดดเป็นแหล่งพลังงานในการสร้าง​น้ำตาล​ โดยเม็ดสีที่ชื่อ  ​"คลอโรฟิลล์"​ เป็นตัวเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงแดด​ ทั้งคลอโรฟิลล์และการสังเคราะห์​แสงเกิดขึ้นในอวัยวะระดับเซลล์ (organelle) ที่ชื่อ  ​"คลอโรพ​ลาสต์"​

    น้ำ + คาร์บอนไดออกไซด์ ​+ แสงแดด​ ได้น้ำตาลตัวแรก​ คือ  น้ำตาลไตรโอส​ (triose​) ก่อนจะเปลี่ยนไตรโอสเป็นน้ำตาลกลู​โคส (glucose)​ น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ​ พืชกักเก็บไว้ในรูปของแป้งและเซลลูโลส​ ตามกิ่ง​ ลำต้น​ ผล​ (หัว​ เช่น​ หัวเผือก​ หัวมัน)​ และใบบางส่วน

    การสังเคราะห์​แสงนอกจากอาศัย​วัตถุ​ดิบและแสงแดดแล้ว​การเปิดปากใบเพื่อคายน้ำและได้คาร์บอน​ไดออกไซด์​ จะต้องอาศัยโพแทสเซียม​เข้าไปคลั่งอยู่ที่ปากใบ​ (ในเซลล์คุม: guard cell) หลังจากนั้น​น้ำจึงจะเข้าสู่ปากใบ​ ทำให้ปากใบเต่งและเปิดอ่าออก

กระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช อาศัยวัตถุดิบ คือน้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้พลังงานในการสังเคราะห์จากแสงแดด

การเปิด-ปิดปากใบ อาศัยการเข้าไปคลั่งของโพแทสเซียมที่เซลล์คุม ทำให้น้ำจากเซลล์ข้างเคียงแพร่เข้าทำให้เซลล์คุมเต่ง ปากใบจึงเปิดอ่าออก

กระบวนการสังเคราะห์แสง เป็นการเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงแดดในช่วงความยาวคลื่นแสง 380-700 นาโนเมตร เกิดการถ่ายอิเล็กตรอนภายในเยื่อหุ้มไทลอคอยด์ชั้นใน ได้สร้างให้พลังงาน ATP และ NADPH ซึ่งนำไปใช้ในวััฏจักรคาลวิน เพื่อสร้างน้ำตาล

   การเคลื่อนย้ายน้ำตาล​ และสะสมอาหาร

    การเคลื่อนย้ายสารอาหารภายในท่อลำเลียงอาหารของพืช ​ส่วนใหญ่​ราว​ 90-94% เป็นน้ำตาล​ ราว​4-5​% เป็นกรดอะมิโน​ และที่เหลืออีก​ 2-4% เป็นธาตุอาหาร ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายจากใบแก่ที่ได้รับแสงแดด​ไปสู่ส่วนที่ต้องการน้ำตาลและสารอาหาร​ เช่น​ ใบอ่อน​ ใบที่ไม่ถูกแสง​ (ใบในเรือนพุ่มด้านในทรงพุ่ม) ดอก​ ผล​ และราก​ 

    ในไม้ผล​ น้ำตาลส่วนเกินจะถูกส่งไปกักเก็บในกิ่งและลำต้นเป็นหลัก

    การเคลื่อนย้ายน้ำตาลและกรดอะมิโน​ จะเริ่มจากเซลล์ที่สังเคราะห์​แสงได้น้ำตาลกลูโคส​ โดยน้ำตาลกลูโคสจะแพร่เข้าสู่เซลล์ข้างๆ​ เส้นใบ​ (เซลล์ประกบ: companion cell) และเซลล์ประกบ​นี้จะเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคส​เป็นน้ำตาลซูโครสก่อน แล้วจึงส่งไปยังเส้นใบ​ผ่านช่องเล็กๆ​ ชื่อ​ "พลาสโมเดสมาตา​ (plasmodesmata)"​ เป็นการส่งแบบ​ไม่ใช้พลังงาน​ (passive transport) และส่งผ่านผนังเซลล์โดยตรง​ ซึ่งต้องใช้พลังงาน​ (active transport) จากสารให้พลังงานที่ชื่อ​ ATP​ 

   โดย​ ATP​ ย่อมาจาก​: A​ = อะดีโนซีน​ (อะดีนิน​ + น้ำตาลไรโบส)​, T = ไตร​ (จำนวน​ 3) และ P = ฟอสเฟต​ จึงหมายถึง​ อะดีโนซีน​ที่รวมตัวกับฟอสเฟต​ 3 ตัว​ (A+[P~P~P])

    การใช้พลังงานเป็นการทำให้ฟอสเฟตตัวสุดท้าย  ​(~P) หลุดออก​และปลดปล่อยพลังงานออกมา​ ฟอสเฟตที่หลุดออกมา​จะสามารถ​วนนำกลับไปสร้าง​ ATP​ ใหม่ได้​ (รีไซเคิล)​ จึงเป็นเหตุให้พบฟอสฟอรัส/ฟอสเฟตในพืชน้อยมากเมื่อเทียบกับธาตุหลักและธาตุรอง​ ถ้าพืชได้รับฟอสเฟตมากกว่าปกติ​ จะกักเก็บไว้ในถุงเก็บสารที่ชื่อ ​"แวคิวโอล​ (vacuole)"​ ภายในเซลล์​ หากมีมากเกินกักเก็บ​ฟอสเฟตจะทะลัก​ออกจากถุงและจับตัวกับธาตุประจุบวกอื่นๆ​ ที่อยู่ภายในของเหลวของเซลล์ เกิดการตกตะกอนและเป็นพิษ​ เช่น​ แคลเซียม​ แมกนีเซียม​ สังกะสี​ เหล็ก​ แมงกานีส​ และคอปเปอร์​ ซึ่งถ้าฟอสเฟตมีมากเกินไปนิดหน่อยการตกตะกอนจะไม่ค่อยเกิดขึ้น​ (เจือจาง)​ ดังนั้น​ การพ่นฟอสฟอรัสทางใบอัตราสูงและบ่อย​ จึงเป็นการยัดเยียด​ให้เซลล์พืชได้รับฟอสเฟตมากเกินไปจนก่อความเป็นพิษ

การลำเลียงสารอาหารภายในพืช จากใบแก่ไปสู่ส่วนต่างๆ ต้องอาศัยธาตุโพแทสเซียมมากเป็นพิเศษ ดังนั้น โพแทสเซียม จึงมีบทบาทในการลำเลียงน้ำตาล

    เซลล์ประกบเส้นใบ​ เปลี่ยนน้ำตาลกลูโคส​ (น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว​)​ เป็นซูโครส​ (น้ำตาลโมเลกุลคู่)​ ก่อนส่งเข้าสู่เส้นใบซึ่งมีท่ออาหาร​ เพราะซูโครส​ แทบจะ​ไม่จับกับกรดอะมิโนหรือธาตุอื่นในท่ออาหาร​ น้ำตาลจึงไม่ตกตะกอนหรือเป็นสารอื่นก่อนส่งถึงปลายทาง​

    การขนส่งกรดอะมิโนและธาตุอื่นๆ​ จากเซลล์ใบไปยังเส้นใบมีหลักการเช่นเดียวกับน้ำตาล

    ในท่ออาหาร​ หรือท่อลำเลียงอาหาร​ (phloem)​ จะมีโพแทสเซียมและน้ำอยู่​ เมื่อซูโครส​ กรดอะมิโนหรือธาตุต่างๆ ถูกลำเลียงเข้าสู่ท่ออาหาร​ในบริเวณเส้นใบ​ (ท่ออาหารมีลักษณะเป็นปล้องๆ และมีช่องผ่านภายใน ลักษณะคล้ายตะแกรง) จะทำให้ค่า pH ภายในเปลี่ยนแปลง​ ดังนั้น​ โพแทสเซียม​ (K)​ จึงแพร่เข้าสู่ท่ออาหารเพื่อปรับสมดุลย์​ค่า​ pH ซึ่งมีผลทำให้ความเข้มข้นเพิ่มสูงขึ้น​ น้ำที่อยู่ในท่อน้ำ​ (xylem) ข้างๆ​ ท่ออาหาร จึงไหลเข้าสู่ท่ออาหาร​บริเวณความเข้มข้นสูง​ (ออสโมซีส)​ ตามกฏการแพร่ของน้ำ​ จากที่เจือจางผ่านเยื้อหุ้มไปสู่ที่เข้มข้น

    เมื่อน้ำไหลเข้าสู่ท่ออาหาร​ จึงเกิดแรงบีบกด​ (turgor pressure)​ และทำให้เกิดแรง​ผลักดัน​ (pressure flow) ดันน้ำตาลซูโครส​ กรดอะมิโนและธาตุอื่นๆ​ ไหลไปตามท่ออาหารไปสู่ส่วนของท่ออาหารที่มีความเข้มข้นต่ำ​ ซึ่งก็คือ​ ใบอ่อน​ ใบเพสลาด​ ดอก​และผล​ ซึ่งรวมถึง​ท้องกิ่งด้วย​ 

    การทำหน้าที่ของโพแทสเซียมนี้​ จึงกล่าวว่า  ​โพแทสเซียม​มีบทบาทในการเคลื่อนย้ายน้ำตาล​ ซึ่งฟอสเฟตมีบทบาททางอ้อมและน้อย​ (โดยส่วนตัว จึงเปรียบเทียบหน้าที่ของโพแทสเซียม (K​) ที่มีบทบาทเคลื่อนย้ายน้ำตาลเสมือน  ​"หัวรถลากขนส่งสินค้า")​

    ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นที่มาของคำแนะนำในการสะสมอาหาร ดังนี้

   - การสะสมอาหารทางดิน: หว่านด้วยปุ๋ยสูตร 15-5-20 หรือ 15-5-25 ในระยะการพัฒนาของใบ หรือระยะสร้างชุดใบ ส่วนระยะเตรียมต้นก่อนการทำดอก หว่านด้วยปุ๋ยสูตร 15-5-25, 14-7-35, 15-5-35 หรือ 10-10-30 เป็นต้น

   - การสะสมอาหารทางใบ: พ่นด้วยปุ๋ยเกล็ด ปุ๋ยน้ำ หรือปุ๋ยเม็ดละลายน้ำ เช่น

  • สูตรเม็ดละลายน้ำ สูตร 15-5-25 (ปุ๋ย 3 ระบบ ของบริษัทดวงตะวันเพชร) อัตรา 1-1.5 กก.ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ
  • ปุ๋ยน้ำสูตร 10-5-20,  ปุ๋ยเกล็ดสูตร 20-10-30, 15-10-30, 5-14-38 หรือ 9-19-34 อัตรา 1 กก. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ
  • ปุ๋ยเกล็ด สูตร 0-52-34 อัตรา 1 ขีด ผสม สูตร 0-0-50 อัตรา 1 กก. ต่อน้ำ 200 ลิตร

      โดยพ่นรวมกับกรดอะมิโน และธาตุรวม 7-8 ชนิด

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts