แมงกานีส (Manganese: Mn)

Thirasak Chuchoet • July 24, 2024
แมงกานีส (Manganese: Mn)
แมงกานีส (Manganese: Mn)

    แมงกานีส มาจากรากศัพท์ภาษากรีก “Magnesia (แมกนีเซีย)” อิตาลีและฝรั่งเศส “Manganese” ชื่อ แมกนีเซีย มาจากภาษากรีกที่เป็นชื่อเมืองที่พบแร่ไพโรลไซต์ (pyrolusite) ที่มีสีดำ ในบริเวณเมืองแมกนีเซียของกรีก เมื่อตั้งชื่อธาตุจึงตั้งชื่อคล้ายธาตุแมกนีเซียมซึ่งพบในเมืองเดียวกัน

   ธาตุแมงกานีส มีสัญลักษณ์ธาตุเขียนด้วยตัวเอ็มใหญ่และเอ็นเล็ก: Mn เป็นธาตุโลหะ มีเลขอะตอม 25 น้ำหนักอะตอมเท่ากับ 54.938 ในธรรมชาติพบอยู่ในรูปของแร่ที่มีสารประกอบหลายชนิด ซึ่งเป็นสารประกอบแมงกานีสออกไซด์ ซัลไฟด์ คาร์บอเนตและซิลิเกต เช่น แร่ไพโรลไซต์ (pyrolusite; MnO2)[1] แมงกาไนต์ (Manganite; MnO(OH)) และแมงกานีสออกไซด์ชนิดอื่นๆ (Mn2O3, Mn3O4)

แมงกานีสในทางการเกษตร

    แมงกานีส จัดเป็นจุลธาตุหรือธาตุเสริม (micronutrients) สำหรับพืช เนื่องจากเป็นธาตุอาหารพืชที่พืชมีความต้องการน้อย โดยทั่วไปจะพบปริมาณแมงกานีสในเนื้อเยื่อพืชราว 10-100 มก./กก.[2] แต่จากการตรวจสอบปริมาณที่พบในพืชแต่ละชนิดอาจแตกต่างกัน ในบางพืชอาจพบเพียง 10-20 มล./กก. หรือในบางพืชอาจพบมากถึง 100-500 มก./กก. ถือได้ว่าเป็นธาตุที่มีช่วงปริมาณที่พบในพืชค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับธาตุสังกะสี และเหล็ก ในสภาพดินเพาะปลูกพืชทั่วไปมักพบปริมาณแมงกานีสที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ง่ายกว่าธาตุอื่นๆ ยกเว้นในสภาพดินทราย ในวัสดุปลูก และในสภาพดินด่าง ที่มีค่า pH มากกว่า 7-7.5 และดินสภาพเป็นกรดจัด มีค่า pH น้อยกว่า 4.5-5

    แร่แมงกานีสออกไซด์ในธรรมชาติจะถูกย่อยสลายได้ธาตุแมงกานีสที่เป็นประโยชน์ต่อพืชในรูป “แมงกานีสไอออน (Mn2+)” ที่มีประจุบวก 2 ได้ง่ายในสภาพดินที่มีค่า pH ระหว่าง 5-7 และมีอินทรียวัตถุ โดยเฉพาะในสภาพดินที่มีความชื้นหรือดินน้ำขังอย่างในนาข้าว ในดินที่มีอินทรียวัตถุสูงจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมย่อยสลายหินแร่แมงกานีสออกไซด์และอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายด้วยนั้นจะส่งเสริมความเป็นประโยชน์ของแมงกานีสในรูปสารประกอบแมงกานีสคีเลตธรรมชาติ ดังนั้น ปัจจัยที่มีผลต่อความเป็นประโยชน์ของแมงกานีสจะประกอบด้วย

    1. ลักษณะของเนื้อดิน: ในดินทรายจัด จะพบการขาดธาตุอาหารได้ง่าย

    2. การระบายอากาศและความชื้นของดิน: ในสภาพที่ดินถ่ายเทอากาศได้ดี เช่น ในดินร่วนปนทราย จะทำให้แมงกานีสส่วนใหญ่มีสภาพเป็นแมงกานีสออกไซด์ (MnO2) ซึ่งละลายน้ำได้ยาก แต่ในสภาพดินน้ำขัง เช่น นาข้าว แมงกานีสจะถูกย่อย (รีดิวซ์) ให้อยู่ในสภาพแมงกานีสไอออน (Mn2+) ได้ง่าย

    3. อินทรีย์วัตถุ: แมงกานีสจะละลายได้ดีในดินที่มีอินทรียวัตถุสูง โดยอินทรียวัตถุที่ย่อยสลายจะช่วยส่งเสริมการสลายของแมงกานีสเป็นแมงกานัส ซึ่งแมงกานัสจะละลายได้ดีกว่า

    4. ความเป็นกรด-ด่างของดิน: สภาพดินที่มีค่า pH ระหว่าง 5-7 จะทำให้แมงกานีสละลายง่ายและเป็นประโยชน์ต่อพืชได้มากกว่าดินกรดจัดและดินด่างจัด

[1] MnO2 คือ แร่หรือสารประกอบแมงกานีสออกไซด์ สัญลักษณ์ธาตุประกอบด้วย แมงกานีส 1 ธาตุ (Mn) และออกซิเจน 2 ธาตุ (O2; เลข 2 ห้อยต่อท้ายหมายถึง มีจำนวนธาตุตามเลข), Mn2O3 ประกอบด้วย แมงกานีส 2 ธาตุ (Mn) และออกซิเจน 3 ธาตุ

[2] หน่วย: มก./กก. หมายถึง มิลลิกรัมต่อน้ำหนักอบแห้งของพืช 1 กิโลกรัม, เมื่อ 1 มก./กก. เท่ากับ 1 ppm (1 ในล้านส่วน) และเท่ากับ 0.0001% (เปอร์เซ็นต์), ดังนั้น แมงกานีส 50 มก./กก. จะเท่ากับ 0.005% (ในพืชทั่วไปพบไนโตรเจน ราว 1.6-2.5%, ฟอสฟอรัส ในรูปฟอสเฟต ราว 0.15-0.35% และโพแทสเซียม ราว 1.5-2.5%)

บทบาทและหน้าที่ของแมงกานีส

    1. ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดในกระบวนการหายใจ[3]

    2. เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสง โดยทำหน้าที่กระตุ้นเอนไซม์ การถ่ายทอดอิเล็กตรอน การปลดปล่อยออกซิเจนในระบบแสง 2 (Photo system II; PS II) และเกี่ยวข้องกับโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของคลอโรพลาสต์[4]

    3. เกี่ยวข้องต่อเอนไซม์ในกระบวนการเมทาบอลิซึมของออกซิเจน และเมทาบอลิซึมของไนโตรเจน[5]

    4. มีบทบาทเกี่ยวข้องในการสร้างกรดอะมิโน (amino acid) และเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ในการสังเคราะห์นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) และกรดไขมัน (fatty acid)[6]

[3] กระตุ้นเอนไซม์ในกระบวนการหายใจ เช่น เอนไซม์ Mn-superoxide dismutase (Mn-SOD), เอนไซม์ Isocitrate dehydrogenase

[4] เกี่ยวข้องต่อการสังเคราะห์แสง ได้แก่

    การกระตุ้นเอนไซม์ เช่น เอนไซม์ Phosphoenolpyruvate carboxylase ในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์, เอนไซม์ NADP-malate และเอนไซม์ NAD-malate ของพืช C4 และ CAM

    เป็นโคแฟกเตอร์ของโปรตีนคอมเพล็กซ์ ในระบบแสง 2 (PS II) ทำหน้าที่สร้างจุดจับกับโมเลกุลของน้ำ เพื่อแยกออกซิเจนและปลดปล่อยอิเล็กตรอน

    เป็นโคแฟกเตอร์ของเอนไซม์หลายชนิดที่สังเคราะห์สารตั้งต้นในการสร้างคลอโรฟิลล์ จิบเบอเรลลิน และแคโรทีนอยด์

[5] ไนโตรเจนเมทาบอลิซึม เช่น กระตุ้นเอนไซม์ Glutamine synthetase ในการสังเคราะห์กรดกลูตามิก, เป็นโคแฟกเตอร์ในการเปลี่ยนไนเตรทเป็นแอมโมเนียม, เกี่ยวข้องต่อเมตาบิลิซึมของคาร์โบไฮเดรต

[6] การสังเคราะห์โปรตีน เช่น

    กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ enolase มีบทบาทต่อเมทาบอลิซึมของน้ำตาล ซึ่งเชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับโปรตีนที่ป้องกันความเครียดของพืช

    เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดอะมิโนฟีนิลอะลานิน, ไทโรซีน (ทั้ง 2 ชนิด เป็นกรดอะมิโนตั้งต้นสังเคราะห์ สารฟีนอลและฟลาโวนอยด์) และทริฟโตเพน (กรดอะมิโนตั้งต้นสังเคราะห์ออกซิน)

    เกี่ยวข้องกับการควบคุมระดับฮอร์โมนออกซิน

    เกี่ยวข้องต่อการสังเคราะห์กรดไขมันที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มมเซลล์

ลักษณะอาการขาดธาตุแมงกานีส

    อาการขาดธาตุแมงกานีส อาจมีบางลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละพืชและความรุนแรงในการขาดธาตุ ลักษณะอาการที่เด่นชัดมีดังนี้

    1. อาการขาดธาตุเริ่มต้นที่ใบอ่อนก่อน จึงลุกลามไปยังใบเพสลาด และใบแก่

    2. เริ่มแรกใบจะมีสีเขียวซีดจาง หรือสีเขียวอ่อน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเส้นใบและเส้นใบจะมีสีเขียวมากกว่า โดยพบว่าใบอ่อนยังคงสามารถขยายขนาดใบได้ตามปกติ

    3. เมื่ออาการขาดธาตุรุนแรงมากขึ้นจะเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีเหลืองมากยิ่งขึ้น แต่เส้นใบยังคงมีสีเขียว ทั้งเส้นกลางใบและเส้นใบย่อย ต่อเมื่ออาการรุนแรงมากเส้นใบย่อยจึงเริ่มแสดงอาการเหลือง ส่วนใหญ่มักพบว่าเส้นกลางใบจะยังมีสีเขียวอยู่

    4. อาการขาดธาตุแมงกานีสรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการเนื้อเยื่อกลางใบแห้งตายเป็นหย่อมๆ หรือเป็นลายตามแนวยาวของเส้นใบ

สาเหตุของอาการขาดธาตุแมงกานีส

    1. ลักษณะของดินปลูก

       1.1 ดินทราย: พื้นที่เพาะปลูกเป็นดินทรายหรือมีดินทรายปะปนอยู่มาก เนื้อดินหรืออนุภาคของดินทรายไม่สามารถดูดซับธาตุอาหารได้ จึงเป็นเหตุให้ดินขาดแคลนธาตุอาหารพืช

       1.2 ดินเหนียว: พื้นที่เพาะปลูกเป็นดินเหนียวจัดหรือมีดินเหนียวมากกว่าดินชนิดอื่น เนื้อดินหรืออนุภาคของดินเหนียว​จะมีไอออนของประจุลบ (-) ล้อมรอบเนื้อดิน (อนุภาคดิน) อย่างหนาแน่น ทำให้แมงกานีสที่ละลายและแตกตัวได้ประจุไอออน 2 บวก (Mn2+) ถูกประจุลบที่ล้อมดินเหนียวดูดยึดไว้อย่างเหนียวแน่น จนแมงกานีสไม่หลุดออกมาและแพร่เข้าสู่รากพืช ยกเว้นในสภาพดินที่เป็นกรดอ่อน มีค่า pH ระหว่าง 5-6.5 ซึ่งในสภาพกรดอ่อนนี้จะมีไฮโดรเจนไอออน (หรือโปรตอน: H+) ละลายอยู่มาก ประจุบวกของไฮโดรเจนจะมีศักย์กำลังไฟฟ้าสูงกว่าประจุ 2 บวกของแมงกานีส (Mn2+) จึงผลักแมงกานีสออกจากเนื้อดินเหนียวและเข้าแทนที่ โดยมีเงื่อนไขว่า ดินเหนียวนั้นจะต้องมีความชื้นและอินทรีย์วัตถุพอสมควร

    2. ความเป็นกรดหรือด่างของดิน: ความเป็นกรดหรือด่างของดิน วัดได้จากค่า pH ของดิน ดินที่เป็นกรดจัด มีค่า pH น้อยกว่า 4.5-5 และดินที่เป็นด่าง มีค่า pH มากกว่า 7-7.5 ขึ้นไป การละลายและแตกตัวของแมงกานีสจะลดลง และพืชไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้

    3. ดินขาดอินทรียวัตถุ: เดิมทีดินที่เปิดป่าใหม่ หรือที่ดินที่เป็นดินร่วนและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยการทับถมของเศษซากพืช-ซากสัตว์ (ซึ่งปัจจุบันไม่น่าจะมี) จะมีอินทรีย์วัตถุมาก (ไม่เกิน 5% ของปริมาตรเนื้อดิน) ดินลักษณะนี้จะเป็นดินที่มีจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายหินแร่และอินทรียวัตถุ ทำให้ดินไม่ขาดแคลนจุลธาตุ ต่อเมื่อมีการเพาะปลูกต่อเนื่องและนำผลผลิตออกจากพื้นที่ ซึ่งเป็นการนำธาตุอาหารและสารอินทรีย์ต่างๆ ออกจากดิน และหากขาดการเติมอินทรีย์วัตถุ เช่น เศษซากพืช-วัชพืช หรือปุ๋ยคอก จะทำให้ดินขาดแคลนธาตุอาหาร

    ในพื้นที่ปลูกพืชผัก พืชไร่ หรือนาข้าว การเติมอินทรียวัตถุและปุ๋ยคอกที่ผ่านการหมักดีแล้ว จะทำได้ง่ายโดยการไถพรวนกลบ (ยกเว้นพื้นที่ลาดชัน)

    สำหรับไม้ผล การไถพรวนและไถกลบไม่สามารถทำได้ ดังนั้น การตัดแต่งกิ่ง-ใบ และผลที่ไม่สมบูรณ์แล้วนำมาคลุมโคนรอบทรงพุ่ม (แต่ต้องไม่ใช่ส่วนที่เป็นโรคพืช) หรือการหว่านปุ๋ยอินทรีย์ที่ละน้อย เรื่อย ๆ จะช่วยเพิ่มปริมาณอินทรีย์วัตถุได้ การหว่านปุ๋ยอินทรีย์ปีละ 1-2 ครั้ง ๆ ละมาก ๆ ไม่เพียงพอต่อการเพิ่มอินทรีย์วัตถุ เนื่องจากไม่สามารถไถกลบได้ และถูกชะล้างจากฝนได้ง่าย

    4. พื้นที่มีฝนตกชุก เช่น ภาคใต้ของประเทศ: พื้นที่ลานเอียงและมีฝนตกชุกเกือบตลอดทั้งปี จะทำให้เกิดการชะล้างแร่ธาตุได้ง่าย พื้นที่ดินเหล่านี้จึงมักขาดธาตุอาหารพืช

   5. การใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสมากเกินความจำเป็นหรือใช้ฟุ่มเฟือย: การใส่ปุ๋ยธาตุหลัก ไนโตรเจน-ฟอสฟอรัส-โพแทสเซียม (N-P-K) ที่มีเปอร์เซ็นต์ธาตุฟอสฟอรัสสูงหรือมีเปอร์เซ็นต์พอๆ กับไนโตรเจนและโพแทสเซียม เป็นการใช้ธาตุฟอสฟอรัสที่เกินความจำเป็น อีกทั้งปุ๋ยฟอสฟอรัสมีราคาสูงมากกว่าปุ๋ยชนิดอื่นๆ ตัวอย่างสัดส่วนปุ๋ยธาตุหลักที่ระบุบนกระสอบและมีฟอสฟอรัสสูงเกินความจำเป็น เช่น สัดส่วนปุ๋ย 1-1-1, 2-2-3, 1-3-3 หรือ 0-1-1

       ตัวอย่างปุ๋ยสูตร สัดส่วน 1-1-1 ได้แก่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15, 16-16-16, 19-19-19 เป็นต้น

       ตัวอย่างปุ๋ยสูตร สัดส่วน 2-2-3 ได้แก่ 13-13-21, 13-13-24, 12-12-17 เป็นต้น

       ตัวอย่างปุ๋ยสูตร สัดส่วน 1-3-3 หรือ 0-1-1 ได้แก่ 8-24-24, 7-21-21, 9-24-24, 0-23-23 เป็นต้น

   ปุ๋ยฟอสฟอรัส ที่อยู่ในกระสอบจะเป็นสารประกอบฟอสเฟตออกไซด์ (ไดฟอสเฟตเพนตะออกไซด์: P2O5) เมื่อหว่านและรดน้ำ จะแตกตัวได้เป็นสารประกอบฟอสเฟตออกไซด์ 3 ชนิด ซึ่งจะมีชนิดใดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเป็นกรด-ด่างของดิน ดังนี้

       1. ไดไฮโดรเจนฟอสเฟต (H2PO4-): พบมากในดินที่มีค่า pH น้อยกว่า 6.8

       2. ไฮโดรเจนฟอสเฟต (HPO42-): พบมากในดินที่มีค่า pH ระหว่าง 6.8-7.2

       3. ฟอสเฟต (PO43-): พบมากในดินที่มีค่า pH มากกว่า 7.2

   ธาตุฟอสฟอรัส เป็นธาตุที่ไม่มีความเสถียรอย่างรุนแรงและอยู่เป็นธาตุเดี่ยว ๆ ไม่ได้[7] จึงมักรวมตัวกับธาตุอื่น โดยเฉพาะธาตุออกซิเจน ซึ่งเป็นธาตุที่รวมตัว (ทำปฏิกิริยา) ได้ง่ายกับธาตุอื่น เมื่อฟอสฟอรัสรวมตัวกับออกซิเจน จะเรียก 2 ธาตุนี้ว่า “ฟอสเฟต” ฟอสเฟตเมื่อถูกละลายด้วยน้ำจะแตกตัวมีสถานเป็นฟอสเฟตไอออนที่มีประจุลบ เช่น PO43-, HPO42- และ H2PO4-[8] ฟอสเฟตไอออนที่เกิดขึ้นยังคงมีความไม่เสถียรอยู่มาก จึงเกิดการรวมตัวกับไอออนประจุบวกของธาตุอื่น กรณีของแมงกานีสซึ่งมีประจุ 2 บวก จะถูกดึงโดยฟอสเฟตให้รวมตัวและตกตะกอนเป็นแร่ที่ละลายน้ำยาก และไม่เกิดความเป็นประโยชน์ต่อพืช จึงเป็นสาเหตุให้พืชขาดแมงกานีส หรือธาตุอาหารอื่นๆ ที่ละลายน้ำแล้วมีประจุบวก

[7]  ความไม่เสถียรของธาตุ: เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น คือการต้มน้ำในกาน้ำร้อนที่ปิดฝาและไม่มีรูระบาย เมื่อน้ำเดือนจะเกิดการสั่น-เดือดระอุ น้ำเปลี่ยนเป็นไอน้ำ การเพิ่มความร้อนต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้การสั่นของน้ำรุนแรงสูงขึ้นจนทำให้กาน้ำสั่นตามไปด้วย หากไม่เปิดฝาหรือมีรูระบายจะเกิดการปะทุแตกของกาน้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากความร้อนทำให้อิเล็กตรอนของน้ำเคลื่อนที่ไปมาจนเกิดการสั่น ธาตุฟอสฟอรัสที่อยู่เดี่ยว ๆ ก็มีลักษณะคล้ายน้ำที่ต้มในกาน้ำร้อนที่ปิดฝาและไม่มีรูระบายไอน้ำ ดังนั้น การรวมตัวกับออกซิเจนทำให้เป็นฟอสเฟตที่สเถียรมากขึ้น เสมือนกาน้ำที่ต้มในกาน้ำร้อนตลอดเวลาและมีรูระบายไอน้ำเล็กน้อย การสั่นของกาน้ำยังเกิดขึ้น

     การหยุดให้ความร้อนแก่กาน้ำ จึงจะทำให้การสั่นดังกล่าวหยุดลง ซึ่งก็เปรียบได้กับการรวมตัวของฟอสเฟตกับธาตุอื่น เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี เหล็ก แมงกานีส หรือทองแดง โดยปกติจะเป็นการรวมตัวในสัดส่วน ฟอสเฟต 1 ต่อ แคลเซียม 3

[8] สารประกอบฟอสเฟต เขียนสัญลักษณ์เป็น Pi

การป้องกันและแก้ไขอาการขาดแมงกานีส

    1. กรณีพื้นที่เพาะปลูกเป็นดินทราย, ดินขาดอินทรียวัตถุ และพื้นที่ลาดชันที่มีฝนตกชุก เช่น ในภาคใต้ แก้ไขโดยการเติมปุ๋ยอินทรีย์

        ดินทราย: ควรหว่านปุ๋ยอินทรีย์ ทุก 30-45 วัน และนำเศษซากพืชตามคลุมรอบโคนต้น หากสามารถหาสารปรับสภาพดินที่มีแร่ธาตุกลุ่มจุลธาตุได้จะช่วยเสริมได้ดียิ่งขึ้น (ตัวอย่างเช่น สารเพิ่มประสิทธิสภาพดิน กรีนลีฟMIC) โดยหว่านพร้อมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี โดยหว่านทุก 30-45 วัน

        ในดินที่ขาดอินทรียวัตถุ หรือพื้นที่ลาดชัน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับในดินทราย แต่ความถี่อาจนานมากกว่าได้ เช่น หว่านทุก 2-3 เดือน

    2. ดินเหนียวและดินมีค่า pH มากกว่า 6.8 ขึ้นไป ควรปรับสภาพให้ดินเป็นกรดอ่อน แก้ไขได้โดยการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนจากปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) เป็นครั้งคราว เพิ่มปริมาณการใช้ปุ๋ยโพแทสเซียมให้สูงขึ้นโดยใช้ปุ๋ยสูงโยกท้าย และเพิ่มอินทรียวัตถุ นอกจากนี้ ในพื้นที่มีความเสี่ยงหรือพบปัญหาโรครากเน่าโคนเน่า อาจใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช คือ ฟอสอิทิล-อะลูมิเนียม ราดพื้นเป็นครั้งคราว (ควรศึกษาอัตราการใช้ให้เหมาะสม เนื่องจากฟอสอิทิล-อะลูเนียม มีความเป็นกรดแก่ อาจกระทบต่อรากพืชได้)

    3. หากมีการใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสมากเกินความจำเป็น ควรลดการใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสลง โดยปรับมาใช้ปุ๋ยสูตรที่มีฟอสฟอรัสต่ำ นอกจากนี้อาจเสริมได้ด้วยการเพิ่มอินทรียวัตถุและการราดดินด้วยสารฮิวมิค (ฮิวมิคเป็นส่วนเสริมเท่านั้น จะแก้ไขระยะยาวจะต้องปฏิบัติควบคู่ไปกับการลดการใช้ฟอสฟอรัส)

    4. เมื่อพืชแสดงอาการขาดธาตุแมงกานีส ควรฉีดพ่นแมงกานีสทางใบเพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุเร่งด่วนในระยะสั้น โดยพ่นด้วย ไฮโดรเมทแมงกานีส-อีดีทีเอ 12% (Mn-EDTA 12%) อัตรา 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ร่วมกับ ไฮโดรเมทมิกซ์-อีดีทีเอ (มีธาตุรอง-จุลธาตุ 7 ชนิด) อัตรา 15-20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นทุก 4-5 วัน ต่อเนื่องจนกว่าจะหยุดแสดงอาการขาดธาตุ

        นอกจากนี้ยังมี แมงกานีสซัลเฟต 32% (แมงกานีสซัลเฟตโมโนไฮเดรต; MnSO4.H2O) อัตรา 20-40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ร่วมกับ ไฮโดรเมทมิกซ์-อีดีทีเอ โดยพ่นทุก 4-5 วัน ต่อเนื่องจนกว่าจะหยุดแสดงอาการขาดธาตุ

    นอกจากนี้ การพ่นธาตุอาหารรวม 7-8 ชนิด เช่น ร่วมกับ ไฮโดรเมทมิกซ์-อีดีที เป็นประจำจะช่วยลดอาการขาดธาตุและเสริมปริมาณธาตุให้เพียงพอต่อความต้องการของพืช

  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button
  • Slide title

    Write your caption here
    Button

แหล่งสืบค้น:

    ลิลลี่ กาวีต๊ะ และคณาจารย์.2560.สรีรวิทยาของพืช.พิมพ์ครั้งที่ 4; กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.270 หน้า.

    ยงยุทธ โอสถสภา.2558.ธาตุอาหารพืช.พิมพ์ครั้งที่ 4; กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.548 หน้า.

    สมบุญ เตชะภิญญาวัฒน์.2544.สรีรวิทยาของพืช Plant physiology.พิมพ์ครั้งที่ 4; กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.237 หน้า.

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts