เฝ้าระวัง เพลี้ยจักจั่น​ฝอยทุเรียน

Thirasak Chuchoet • May 13, 2024

เพลี้ยจักจั่น​ฝอยทุเรียน.!! ยอดอ่อนไหม้เหลือแต่กิ่งให้ดูต่างหน้า

เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper)

    ชื่อท้องถิ่นอื่นๆ: เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยกระโดด เพลี้ยน้ำมัน

    ชื่อวิทยาศาสตร์: Amrasca durianae Hongsaprug

    วงศ์: ซิคาเดลลิดี้ (Family: Cicadellidae), อันดับ: เฮมิพเทอร่า (Order: Hemiptera)

ยอดก้านธูป หรือยอดไม้กวาดในทุเรียน

    ต้นทุเรียนที่มีกิ่งก้านบริเวณยอดหรือปลายยอดแห้งตาย มีลักษณะคล้ายก้านธูปหรือก้านไม้กวาด สาเหตุอาจเกิดได้จากหลายประการ อาทิ เกิดจากโรคกิ่งแห้งตาย (Fusarium die-back disease) อาการขาดธาตุแคลเซียมและโบรอนในช่วงอุณหภูมิสูง ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ หรือต้นทรุดโทรมหลังการเก็บเกี่ยว แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่มาจาก "เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน"

    อาการยอดแห้งตายคล้ายยอดไม้กวาดในทุเรียน ที่มีสาเหตุจากเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper) บางพื้นที่เรียกเพลี้ยชนิดนี้ ว่า "เพลี้ยกระโดด" ที่ได้ชื่อนี้อาจเป็นเพราะชาวสวนสังเกตุ​พฤติกรรม​การเคลื่อนไหว​ของเพลี้ยจักจั่น​ฝอย​ทุเรียน​ ที่มีลักษณะ​คล้าย​การกระโดดไปด้านข้างเหมือนการเดินของ "ปู"

    เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนเป็นแมลงศัตรูพืชที่อยู่ในอันดับ "เฮมิพเทอร่า" และอยู่ในวงศ์เดียวกันกับเพลี้ยจักจั่นฝ้าย เพลี้ยจักจั่นชาสีเขียว เพลี้ยจักจั่นฝอยมะม่วง เพลี้ยจักจั่นช่อมะม่วง (เพลี้ยจักจั่นมะม่วง) เพลี้ยจักจั่นสีเขียวในข้าว เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยักในข้าว เพลี้ยจักจั่นแดงในอ้อย และมีความใกล้ชิดทางชีววิทยากับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และเพลี้ยกระโดดหลังขาว ที่อยู่ในวงศ์เดลฟาซิดี้ (Family: Delphacidae) ดังนั้น แม้ในเชิงวิชาการจะยังขาดข้อมูลการศึกษาด้านชีววิทยาของเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนค่อนข้างมากแต่ก็พอจะอ้างอิงกับเพลี้ยจักจั่นชนิดอื่นได้

อาการยอดก้านธูปเนื่องจากเพลี้ยจักจั่นฝอยเข้าทำลาย

​รูปร่างลักษณะ​

    เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper) เป็นศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายในระดับเศรษฐกิจ มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษตามพืชที่พบหลัก คือ "ทุเรียน (Durian)"  (ปัจจุบัน เพลี้ยชนิดนี้ยังไม่พบการเข้าทำลายในพืชอื่น) และชื่อตัวตามลักษณะการทำลาย คือ "leafhopper (ลีฟฮอพเพอร์)" ชื่อ leafhopper มาจากคำว่า "leaf" หมายถึง "ใบ" เป็นส่วนที่ถูกเข้าทำลายหลัก กับคำว่า "hopper" หมายถึง "ผู้กระโดด" ซึ่งเรียกตามลักษณะการเคลื่อนที่ของแมลงในวงศ์นี้หรือวงศ์ใกล้เคียง โดยมีลักษณะการเคลื่อนไหวแบบกระโดดเฉียงไปด้านข้างของลำตัวคล้ายปู นอกจากนี้ยังมีคำที่ใช้เรียกลักษณะอาการของใบพืชที่ถูกทำลายจากเพลี้ยเหล่านี้ ที่มีลักษณะไหม้คล้ายถูกน้ำร้อนลวก ว่า "hopper burn (ฮอพเพอร์เบิร์น)"

    เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน ไม่ใช่แมลงศัตรูพืชที่พึ่งพบใหม่แต่เป็นศัตรูพืชที่พบมานานทุเรียน ในระยะ 5-6 ปีหลังมานี้เอง ที่พบว่า สร้างความเสียหายกับใบอ่อนทุเรียนมากขึ้น และมีรุนแรงมากกว่าเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน อีกทั้งเพลี้ยชนิดนี้ยังสร้างความทนทานต่ออัตราสารกำจัดแมลงมากขึ้น (Tolerance) ความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงมากขึ้น (Resistance) และพบว่ามีสารกำจัดแมลงหลายชนิดที่มีผลต่อการระบาดเพิ่มขึ้น (Resurgence)

อาการยอดอ่อน-ใบอ่อนไหม้คล้ายถูกน้ำร้อนลวก เกิดจากน้ำลายที่เป็นเอนไซม์พิษ

    รูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายคลึง​กับ​เพลี้ยจั๊กจั่นฝอยมะม่วง เพลี้ยจักจั่นฝ้าย และเพลี้ยจักจั่นชาสีเขียว การจำแนกเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน โดยส่วนหัว (pronotum และ scutellum) เป็นสีน้ำตาลอ่อนอมเขียว บริเวณ​ใกล้​ขอบหน้าผากมีจุดดำ 2 จุด (ปลายส่วนหัว) และมีเส้นสีขาวเป็นรูปเครื่องหมายบวก (+) พาดยาวตรงกลาง scutellum และมีจุดสีน้ำตาลเรียงเป็นระยะ ปีกใสสีเขียวอ่อน กลางปีกค่อนไปทางด้านปลายมีจุดสีดำ 4 จุด เรียงพาดขวาง

รูปร่างลักษณะของเพลี้ยจักจั่นฝอยตัวเต็มวัย (ตัวแก่)

การทำลายและความเสียหาย​

    เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนทั้งตัวเต็มวัยและตัวอ่อนดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนและใบเพสลาดของทุเรียนโดยไม่ทำลายใบแก่ การดูดกินน้ำเลี้ยงของเพลี้ยจักจั่นแต่ละชนิดส่วนมากจะทำให้อาการใบไหม้ ​เพลี้ย​จักจั่นทุกชนิด​มีปากแบบ​เจาะดูด​ (piercing sucking type) การดูดกินน้ำเลี้ยงโดยการเจาะดูด ซึ่ง​ไม่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อใบ​พืชเสียหายมากนัก​ แต่ความเสียหายเกิดจากการใช้เอนไซม์ที่เป็นพิษในน้ำลาย​ย่อยผนังเซลล์พืช​ทำให้ผนังเซลล์บางลงและแตก หลังจากนั้นของเหลว​หรือน้ำเลี้ยง​ภายในเซลล์​จะซึมออกมา​ อาการผนังเซลล์แตกนี้ทำให้เกิดอาการไหม้​ "hopper burn" โดยปกติเพลี้ยจักจั่นฝอยมักดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณขอบใบมากกว่าเนื้อใบ​ อาการใบไหม้ระยะแรกมีลักษณะ​คล้าย​ถูกน้ำร้อน​ลวก​ ต่อมาเมื่อแผลไหม้เริ่มแห้งจะทำให้ขอบใบม้วนงอ หากถูกทำลายรุนแรง​ใบอ่อนจะร่วงหล่น​ การระบาดของเพลี้ยต่อเนื่องจะทำให้ใบอ่อน​เกิดอาการไหม้รุนแรงทั้งต้นและใบร่วงเหลือแต่ก้าน ชาวสวนเรียกอาการทีเหลือแต่ก้านนี้ว่า "ยอดก้านธูป"

วงจรชีวิต

    ยังไม่พบรายงาน​วงจรชีวิต​ของเพลี้ย​จั๊กจั่น​ฝอย​ทุเรียน ดังนั้น​ จึง​อ้างอิง​วงจรชีวิต​ของ "เพลี้ยจั๊กจั่นฝ้าย" วงจรชีวิตมีดังนี้

   1. ตัวเต็มวัยหรือตัวแก่ (adults): มีอายุเฉลี่ยราว 21-28 วัน แต่สามารถมีอายุได้นานถึง 53 วัน โดยเพศเมียมีอายุยืนยาวกว่าเพศผู้ ปกติเพศเมียมีสัดส่วนมากกว่าเพศผู้ 1.3 ต่อ 1 ตัว

   2. ไข่ (eggs): ตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นฟองเดี่ยวในเนื้อเยื่อพืชตามเส้นใบ หรือบางครั้งวางไข่ที่ก้านใบอ่อนๆ เพศเมีย 1 ตัว วางไข่เฉลี่ย 15 ฟอง ไข่ใช้เวลา 4-7 วัน จึงฟักออกมาเป็นตัวอ่อน

   3. ตัวอ่อน (nymphs): ตัวอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝอยไม่มีปีก เมื่อแรกฟักจะมีระยางค์ที่ต่อมาพัฒนาเป็นปีกคล้ายลูกไก่ที่พึ่งฟัก ตัวอ่อนมีการเจริญเติบโต 5 วัย โดยการลอกคราบ (คล้ายปูนิ่มที่ลอกคราบเพื่อขยายขนาดตัว) เมื่อลอกคราบแต่ละครั้งลำตัวจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอ่อนมีน้ำลายที่เป็นพิษเช่นเดียวกับตัวเต็มวัยและมีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ฟักออกจากไข่จนเป็นตัวเต็มวัยราวๆ 7-21 วัน ขึ้นอยู่กับแหล่งอาหารและสภาพอากาศ

รูปร่างลักษณะของเพลี้ยจักจั่นฝอยตั้งแต่ฟักออกจากไข่จนถึงตัวเต็มวัย

เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน วางไข่ตามเส้นใบโดยเจาะวางไข่เข้าไปในเนื้อเยื้อใบอ่อน (แผลฉีกขาดตามเส้นกลางใบ เกิดจากตัวอ่อนฟักออกมาจากไข่)

แหล่งที่พบ​การระบาด

    พบการแพร่ระบาดเป็นประจำเกือบทุกพื้นที่การเพาะปลูกทุเรียนโดยเฉพาะในฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง​ เช่น ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกและภาคกลาง ส่วนภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างพบการระบาดเป็นครั้งคราว

การป้องกันกำจัด (อัพเดทข้อมูล ณ พ.ค.2568)

    1. เมื่อพบการเข้าทำลายของเพลี้ย ควรพ่นสารกำจัดศัตรูพืชต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ครั้ง ทุก 5-7 วัน เช่น สารกำจัดแมลง กลุ่ม​ 29 ได้แก่ ฟลอนิคามิด​ 50% อัตรา​ 100-150​ กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ กลุ่ม​ 9 ได้แก่ ไพมีโทรซีน 50% (ชื่อการค้า แพ็คโทรซีน) อัตรา 200-250 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร ผสมร่วมกับสารกำจัดแมลง กลุ่ม 3A ได้แก่ ไบเฟนทริน 10% อัตรา 250-300 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร, อีโทเฟนพรอกซ์ 20% อัตรา 300-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือกลุ่ม 13 ได้แก่ คลอฟีนาเพอร์ 10%, 24% หรือ 40% อัตรา 400-600, 200-300, 100-150 ซีซี. (ตามลำดับ) ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือกลุ่ม 1A เช่น แพคบีพี (ชื่อสามัญ: ฟิโนบูคาร์บ 50%) อัตรา 350-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือกลุ่ม 1B ได้แก่ พีโป้ (ชื่อสามัญ: โปรฟีโนฟอส 50%), ไดเมโทเอท 50% หรือเฟนโทเอท 50% (ชื่อการค้า เช่น พีเอท50) อัตรา 350-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร 

    *สารกำจัดแมลง กลุ่ม​ 3A​ ใช้ได้เฉพาะ​ไบเฟนทริน​ เพอร์เมทิล และอีโทเฟนฟร็อก เท่านั้น​ เนื่องจากไม่มีไซยาไนด์​เป็น​องค์ประกอบ​ในโครงสร้าง​ทางเคมี

    **กรณี​ พบการระบาดรุนแรงอาจผสมสารกำจัดแมลงดังกล่าว​ร่วมกับ สารกำจัดแมลง กลุ่ม 16 ได้แก่ บูโพรเฟซีน​ 40% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คบูซิน) อัตรา​ 300-400​ ซีซี.ต่อน้ำ 200 ลิตร​ หรือ กลุ่ม 7C ไฟริพรอกซิเฟน 10% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คซีเฟน) อัตรา​ 300-350​ ซีซี​.ต่อน้ำ 200 ลิตร

    ***การผสม ไวท์ออยล์ หรือพาราฟินออยล์ ทดแทนสารจับใบจะช่วยให้กำจัดเพลี้ยได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างชื่อการค้า เช่น เอนโดซ่า อัตรา 400-500 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ เรดฮ็อท อัตรา 200-250 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร

    2. การป้องกันก่อนพบการเข้าทำลายในระยะใบเริ่มแตกใบอ่อน ควรพ่นป้องกันโดยใช้สารกำจัดแมลง ดังนี้

        สารกำจัดแมลง ​กลุ่ม​ 4A ได้แก่ ไดโนทีฟูแรน 20% (ชื่อการค้า เช่น ฟูเรนโน่), ไทอะมีโทแซม 25%, อิมิดาโคลพริด 70% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คมิดา70), อะซีทามิพริด 20% (ชื่อการค้า เช่น แพ็คมอร์) หรือ โคลไทอะนิดีน 16%  อัตรา 150-200 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือไทอะโคลพริด 24%SC อัตรา 200 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ​

        กลุ่ม​ 4C ได้แก่ ซัน​ฟ็อก​ซา​โฟล 50% อัตรา 150-200 กรัม ต่อน้ำ 200 ลิตร หรือ

        กลุ่ม 4D ได้แก่ ฟลูไพราดิฟูโรน 20% อัตรา 150-250 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร 

        *เลือกใช้สารตัวใดตัวหนึ่ง

แหล่งสืบค้น:

    ขยัน สุวรรณ.ไม่ระบุปีที่พิมพ์.แมลงและไรศัตรูพืชทางเศรษฐกิจของประเทศไทย.ภาควิชาอารักขาพืช คณะผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้เชียงใหม่.494 หน้า.

    ธวัช ปฏิรูปานุสร และเพชรหทัย ปฏิรูปานุสร.2552.ศัตรูข้าวและศัตรูธรรมชาติในภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน.ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก สำนักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว.304 หน้า.

    สุเทพ สหายา.2561.รู้ลึกเรื่อง สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง และไรศัตรูพืช.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ.108 หน้า.

    คู่มือผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร.2566.พิมพ์ครั้งที่ 1.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.183 หน้า.

    เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชกะหล่ำ เทคนิคการพ่นสารฆ่าแมลงในพืชผักและกลไกการต้านทานสารฆ่าแมลงของแมลงศัตรูผักที่สำคัญ.กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.86 หน้า.

    เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูไม้ผล และเทคนิคการพ่นสารที่เหมาะสม (รุ่นที่ 1).สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.162 หน้า.

    เอกสารวิชาการ.2564.การใช้สารกำจัดแมลงและไรศัตรูพืชเพื่อแก้ไขปัญหาความต้านทานศัตรูพืช.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชากาเกษตร.146 หน้า.

    IRAC.2019.Insecticide Mode of Action Training slide deck IRAC MoA Workgroup Version 1.0, April 2019.

    (https://irac-online.org)

    IRAC.2024.MODE OF ACTION CLASSIFICATION SCHEME VERSION 11.1, JANUARY 2024.

    (https://irac-online.org)

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts