กลไกออกฤทธิ์​ยาแมลง​ ep.2

Thirasak Chuchoet • May 26, 2024
กลไกการออกฤทธิ์​ของสารกำจัดแมลง​ ตอนที่​ 2

    ความต้านทานต่อสารกำจัดแมลง (ดื้อยา) แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้

    1. ความต้านทานข้าม (Cross resistance)

        ความต้านทานข้าม (Cross resistance)

        เป็นกลไกความสามารถในการต้านทานสารกำจัดแมลงชนิดใดชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มกลไกออกฤทธิ์ของสารกำจัดแมลง แล้วมีผลทำให้แมลงมีความสามารถต้านทานยาชนิดอื่นๆ ที่อยู่ภายในกลุ่มนั้นได้ ความต้านทานในลักษณะนี้จะมีกลไกการสร้างความต้านทานเพียงหนึ่งกลไกเท่านั้น หมายความว่า แมลงชนิดนั้นๆ มีกลไกต้านทาน (ด้ือยา) ต่อสารกำจัดแมลงหนึ่งชนิด แต่สามารถต้านทานสารชนิดอื่นภายในกลุ่มได้ แต่ไม่ต้านทานต่อสารกำจัดแมลงอื่นที่อยู่นอกกลุ่ม (ซึ่งจะกล่าวถึงการดื้อยานอกกลุ่มในหัวข้อความต้านทานถัดไป)

        สาเหตุที่แมลงมีความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงชนิดอื่นๆ ภายในกลุ่ม เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของจุดจับ (binding site) จนทำให้สารกำจัดแมลงที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันไม่สามารถจับจุดดังกล่าวได้ เพราะสารกำจัดแมลงที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะมีโครงสร้างเคมีหลักเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น

       สารกำจัดแมลง กลุ่ม 5: มีโครงสร้างสารเคมี 1 ชนิด คือ สปินโนซีน (spinosyns) ซึ่งได้จากการหมักเชื้อจุลินทรีย์ประเภทแอคติโนมัยเซต (actinomycete) ชื่อ ​แซคคาโรพอลี่สปอร่า สไปโนซ่า (Saccharopolyspora spinosa) ที่อยู่ในดิน ได้สาร​สปินโนซีนออกมา​ มากกว่า 20 ชนิด แล้วนำไปสังเคราะห์ต่อเพิ่มเติม สารกำจัดแมลงที่อยู่ในกลุ่มสารเคมีสปีนโนซีน มีอยู่ 2 ชนิด คือ

       1. สไปโนแซด​ (spinosad)​: เกิดจากสารสปินโนซีน ชนิด เอ  (spinosyn type A) สูตรเคมี C41H65NO10 และชนิด​ ดี (spinosyn type D) สูตรเคมี C42H67NO10 ผสมกันในอัตราส่วน 17 ต่อ 3 ได้เป็นสารสปินโนซีน 2 ชนิดอยู่รวมกันเป็น spinosAD และเขียนใหม่ได้เป็น ​spinosad

       2. สไปนีโทแรม​ (spinetoram)​: เกิดจากสารสปินโนซีน ชนิด เจ (spinosyn​ ​type J) สูตรเคมี C40H63NO10 และชนิด แอล (spinosyn type L) สูตรเคมี C41H65NO10 นำไปสังเคราะห์เพิ่มเติมได้เป็นสารอนุพันธ์ของสปินโนซีน ชนิด เจ และแอล ได้เป็นสาร ​spinetoram มีสูตรเคมี คือ C42H69NO10 หรือ C43H69NO10 (คาร์บอน​ (C) ต่างกัน​ 1 อะตอม)​

กลไกออกฤทธิ์ของสารกำจัดแมลง แบ่งตามสรีระของแมลงศัตรูพืช เป็น 5 ระบบ คือ 1) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ 2) ออกฤทธิ์ต่อระบบการหายใจระดับเซลล์ 3) ออกฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหารส่วนกลาง 4) ออกฤทธิ์ต่อระบบการเจริญเติบโต และ 5) ยังไม่ทราบกลไกแน่ชัด

        แมลงที่ต้านทานสารกำจัดแมลง​ กลุ่ม​ 5 เกิดจาก​กลไกความต้านทาน​ 2 สาเหตุ​ คือ ​

        1) แมลงสังเคราะห์เอนไซม์ย่อยสลายสารกำจัดแมลงได้ดีขึ้น

        2) เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของจุดจับของสารกำจัดแมลง​

        ซึ่งกรณีสารกลุ่ม​ 5 การเปลี่ยนแปลงที่จุดจับพบบ่อยมากที่สุด​ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลโปรตีนที่เป็นจุดจับ ​"ตัวคุมอัลโลสเตอริก​ ตำแหน่งวัน​ (allosteric modulator site I) หรืออีกชื่อ​ คือ​ มาโครไซคลิก​ แลกโตน (macrocyclic lactone site)" ของโปรตีนหน่วยย่อยอัลฟ่า (alpha subunit) ที่รวมตัวกับโปรตีนหน่วยย่อยอื่นๆ​ เป็นช่องผ่านตัวรับนิโคตินิกที่กระตุ้นการทำงานด้วยสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน (nicotinic acetylcholine receptors: nAChR)​ เมื่อสารสไปนีโทแรมไม่สามารถจับที่จุดจับได้​ สารสปีนโนแซด​ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมีหลักเหมือน​กันก็ไม่สามารถจับและออกฤทธิ์ได้เช่นกัน

    ความต้านทานข้ามนี้ ยังมีผลต่อสารกำจัดแมลงที่มีโครงสร้างทางเคมีต่างกัน​ด้วย​ เช่น​ สารกำจัดแมลง​ กลุ่ม​ 1A กับ​ 1B​ หรือ​ 3A​ กับ​ 3B​ 

ภาพ: กลไกการทำงานของ "ช่องตัวรับนิโคตินิก ที่กระตุ้นการทำงานด้วยสารสื่อประสาท อะซีทิลโคลีน (nicotinic acetylcholine receptors; nAChR)", ช่องนี้เป็นกลุ่มของโปรตีนรวมตัวกันและเกิดช่องผ่านตรงกลาง แทรกตัวอยู่ในเยื้อหุ้มเส้นประสาท บริเวณส่วนหน้าโพสต์ไซแนปส์ติกนิวรอน ประกอบขึ้นจากโปรตีนหน่วยย่อย 5 หน่วย มี 4 ชนิด คือ หน่วยย่อยอัลฟ่า เบต้า แกมม่า และเดลต้า ซึ่งเป็นจุดที่สารสื่อประสาทเข้ามาจับ เพื่อกระตุ้นเปิดช่องให้ประจุไอออนบวกไหลเข้าสู่ภายในเซลล์ประสาท และเป็นจุดที่สารกำจัดแมลงเข้าจับเช่นกัน

    สารกำจัดแมลง​ กลุ่ม​ 1 มีโครงสร้างสารเคมี 2 ชนิด​ คือ​ คาร์บาเมท​ จัดเป็นกลุ่ม​ 1A​ (สารในกลุ่มนี้​ เช่น​ คาร์บาริล, เบนฟูราคาร์บ​, ฟิโนบูคาร์บ​ ฯ)​ และ​ออร์กาโนฟอสเฟต​ จัดเป็นกลุ่ม​ 1B (สารในกลุ่มนี้​ เช่น​ ไดคลอวอส, โปรฟีโนฟอส, ไตรอะโซฟอส, พิริมิฟอส​ ฯ)​ แมลงที่มีความต้านทางสารกลุ่ม​ 1 เป็นผลมาจากเอนไซม์อะซีทิลโคลีนเอสเตอเรส​ (acetylcholine esterase) เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี[1] ซึ่งปกติเอนไซม์นี้จะมีหน้าที่ย่อยสลายสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน และสารกลุ่ม​ 1A​ และ​ 1B​ มีกลไกจับที่เอนไซม์นี้และหยุด/ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ​แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเอนไซม์กลับทำให้เอนไซม์ดังกล่าวมีคุณสมบัติย่อยสลายสารกลุ่ม​ 1A​ และ​ 1B​ ได้

    สารกำจัดแมลง​ กลุ่ม​ 3 มีโครงสร้างสารเคมี 2 ชนิดเช่นกัน​ คือ ​ไพริทรอยด์​ /ไพริทริน​ จัดเป็นกลุ่ม​ 3A​ (สารในกลุ่มนี้​ เช่น​ ไบเฟนทริน, ​ไซเพอร์เมทริน,​ แลมบ์ดาไซฮาโลทริน​ เดลต้าเมทริน​ ซีต้าไซเพอร์เมทริน​ ฯลฯ)​ และ​ดีดีที​ จัดเป็นสารกลุ่ม​ 3B​ (สารในกลุ่มนี้​ คือ​ ดีดีที​ [แบน​ทั่วโลก]​)​ แมลงที่เกิดความต้านทานต่อสารดีดีที​ เกิดจากการกลายพันธุ์​ของสาร​พันธุกรรม​ (ยีน) ​kdr ที่ควบคุมการแสดงออกของช่องผ่านศักย์ไฟฟ้าโซเดียม​ (voltage gated sodium channel)​ ทำให้เกิดความต้านทานต่อสารกลุ่มไพริทรอยด์​ /ไพริทรินด้วย​ เพราะสารทั้ง​ 2 กลุ่ม​ ไม่สามารถจับที่จุดจับ ​"ตัวคุม​ (modulators) ของช่องผ่านศักย์ไฟฟ้าโซเดียม" ได้

ภาพจำลอง: กลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดแมลง กลุ่ม 5 โดยจับที่ตัวคุมอัลโลสเตอริก ตำแหน่ง วัน ของช่อง nAChR ส่งผลให้ช่องเปิดตลอดวลาและประจุไอออนบวกไหลเข้าสู่เ้ส้นประสาท เกิดการกระตุ้นกระแสประสาทตลอดเวลา โดยกระแสประสาทนี้เกี่ยวข้องกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ การกระตุ้นกระแสประสาทตลอดเวลา (hyperexcitation) ทำให้แมลงเป็นอัมพาต

    อีกตัวอย่าง เป็นการสร้างความต้านทานข้าม แบบข้ามกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในนาข้าว (brown planthopper (BPH): Nilaparvata lugens Stal) ในประเทศไทยพบการแพร่ระบาดรุนแรงมาก (ครั้งที่ 4) ในช่วงปี พ.ศ. 2552-2554 ภายหลังจากนั้นมีรายงาน การสร้างความต้านทาน (ดื้อยา) ข้ามกลุ่มสารกำจัดแมลง ระหว่างกลุ่ม 4A กับ กลุ่ม 9 และเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (durian leafhopper:Amrasca durianae Hongsaprug)[2] แมลงทั้งคู่อยู่ในอันดับเฮมิพเทอร่า (Orde: Hemiptera) กลไกการสร้างความต้านทานต่อสารกำจัดแมลง กลุ่ม 4A ส่งผลให้เกิดความต้านทานต่อสารกลุ่ม 9 เนื่องจากกลไกความต้านทานนี้เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเอนไซม์ไซโตโครม​ พี450[1] ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายสารพิษได้อย่างกว้างขวางของแมลง (detoxification enzymes) ดังนั้น เมื่อแมลงสังเคราะห์เอนไซม์ดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสารกลุ่ม 4A ได้ดีและเกิดความต้านทานต่อสารกลุ่ม 4A เป็นผลให้เอนไซม์สามารถย่อยสารกำจัดกลุ่ม กลุ่ม 9 ได้ดีไปด้วย จึงเกิดความต้านทาน (ดื้อยา) ข้ามกลุ่มกลไกออกฤทธิ์[3]

สาเหตุการต้านทานแบบข้าม

    สาเหตุหลักมี​ 2 กลไก​ ตามที่ได้กล่าวข้างต้น​ คือ​ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของเอนไซม์ย่อยสลายสารกำจัดแมลงหรือสารพิษ​[1] และการกลายพันธุ์ของจุดจับ​ นอกจากนี้ยังมีกลไกอื่นด้วย​ แต่ไม่เด่นและชัดเจนมากนัก​ มักเป็นปัจจัยเสริม​ คือ​ การลดการซึมผ่านของสารเข้าสู่ร่างกายของแมลงและพฤติกรรมบางประการของแมลงที่เตือนภัยให้แมลงหลบหลีกพืชที่มีการพ่น​สารกำจัดแมลง

[1]เอนไซม์​ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความต้านทาน​ คือ​ เอนไซม์ไซโตโครม​ พี450​ (Cytochrom​ P450: Cty.​ P450) เอนไซม์​ Cyt. P450 บางชนิดมีคุณสมบัติไม่เฉพาะเจาะจงในการจับและทำปฏิกิริยา​ ซึ่งปกติเอนไซม์​แต่ละชนิดจะค่อนข้างเจาะจงในการทำปฏิกิริยา​ เมื่อ​เอนไซม์​ Cyt.​ P450 ทำปฏิกิริยา​ย่อยสลายสารกำจัดแมลงใดได้ดีเป็นพิเศษ​ สารอื่นๆ​ ที่มีโครงสร้างเคมีหลักเหมือนกันก็จะถูกย่อยสลายไปด้วย​ จึงทำให้เกิดความต้านทานข้าม

[2]ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตุ: ช่วงปี พ.ศ.2563-2564 ในเขตพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช พบการแพร่ระบาดของเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนรุนแรงในหลายพื้นที่ โดยทั่วไปชาวสวนจะมีการใช้สารกำจัดแมลง กลุ่ม 4A กับเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียนและเพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในลักษณะการพ่นป้องกันก่อนการระบาดและกำจัดเมื่อพบการแพร่ระบาด โดยที่ก่อนหน้าปีนั้นและช่วงปีดังกล่าว สารกำจัดแมลง กลุ่ม 9 แทบจะไม่เป็นที่รู้จักของชาวสวนและร้านค้าในพื้นที่เลย อีกทั้งในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศเองก็แทบจะไม่พบการใช้สารกลุ่ม 9 ต่อเมื่อผมได้เริ่มแนะนำชาวสวนให้หันมาใช้สารกลุ่ม 9 กลับพบว่าอัตราขั้นต้นในการใช้กำจัดเพลี้ยจักจั่นฝอยต้องปรับอัตราการใช้เป็น อัตรา 15 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (จากเดิมที่สารกลุ่ม 9 ออกจำหน่ายในประเทศใหม่ๆ ใช้อัตรา 5 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล) และในห่วงเวลาสั้นๆ ราว 2 ปี ทั้งที่มีการสลับกลุ่มสารออกฤทธิ์และการใช้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย กลับต้องเพิ่มอัตราเป็น 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร และต่อมาต้องใช้สารกลุ่ม 9 ร่วมกับสารกำจัดแมลงกลุ่มอื่น

[3]เอนไซม์ไซโตโครม​ พี450 เมื่อสามารถย่อยสลายสารกลุ่ม 4A และ 9 ได้ดี ดังนั้น จึงมีแนวโน้มที่จะย่อยสลายสารกลุ่ม 4C, 4D, 4E และ 4F ด้วย

2. ความต้านทานข้ามหลายกลไก (Multiple resistance)

    ความต้านทานข้ามหลายกลไก (Multiple resistance) เป็นความสามารถต้านทานสารกำจัดแมลง ที่พบว่า แมลงชนิดหนึ่งสามารถมีกลไกต้านทานสารได้มากกว่า 1 กลไก คือ สามารถต้านทานกลุ่มสารกำจัดแมลงได้มากกว่า 1 กลุ่ม ในแมลงชนิดเดียว ความสามารถนี้ทำให้แมลงสร้างความต้านทานต่อกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ได้หลากหลายกลุ่มสาร

3. ความต้านทานข้ามเชิงลบ (Negative cross resistance)

    ความต้านทานข้ามเชิงลบ (Negative cross resistance) เกิดจากแมลงชนิดใดชนิดหนึ่งสร้างความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงกลุ่มหนึ่งแล้ว ความต้านทานดังกล่าว "กลับส่งผลเชิงลบต่อแมลง" กล่าวคือ เมื่อแมลงต้านทานสารกลุ่มหนึ่งแล้ว กลไกความต้านทานนี้ไปทำให้แมลงเกิดความอ่อนแอต่อสารกำจัดแมลงกลุ่มอื่น

ปัจจัยที่มีอิทธิผลต่อการสร้างความต้านทาน (ดื้อยา) ของแมลง

    ความเร็วในการพัฒนาสร้างความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนี้

   1. ความต้านทานเป็นสารพันธุกรรมเด่น (dominant gene): หากสารพันธุกรรม (ยีน) ที่แสดงออกถึงความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงเป็นสารพันธุกรรมเด่น (ยีนเด่น) จะส่งเสริมให้แมลงสร้างความต้านทานได้เร็วกว่าปกติ

   2. อายุของชั่วรุ่นหนึ่งๆ ของแมลง (generation): มีความสบสนกันมากในการนับช่วงอายุเพื่อสลับกลุ่มสารกำจัดแมลง ในการสลับกลุ่มนั้นมีการขยายความกันมากและแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ 1) การสลับกลุ่มสารตามวงจรชีวิตของแมลง /ชั่วอายุ (life cycle หรือ lifespan) และ 2) การสลับกลุ่มสารตามชั่วรุ่นของแมลง (generation) โดยสาระสำคัญทั้ง 2 แนวทาง ต่างมีจุดมุ่งหมายไปที่การสลับกลุ่มสารเมื่อแมลงเจริญวัยเป็นตัวเต็มวัย (วัยสืบพันธุ์ /ตัวแก่) ที่สามารถผสมพันธุ์และขยายจำนวนประชากรแมลงได้ ดังนั้น การอธิบายว่า "การสลับกลุ่มสารควรสลับตามวงจรชีวิตของแมลง" แลดูจะไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากวงจรชีวิต จะหมายถึง ตั้งแต่เกิดถึงสิ้นอายุขัย ทั้งที่ในความหมายต้องการที่จะสื่อถึง เกิดถึงวัยสืบพันธุ์ ซึ่งจะตรงกับคำว่า "ชั่วรุ่น (generation)" มากกว่า

    สำหรับแมลงที่มีชั่วรุ่นอายุสั้นเท่าไหร่ (เกิด-สืบพันธุ์) ในรอบปีหนึ่งๆ จะมีแมลงรุ่นต่างๆ ต่อปีมาก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาหรือกลายพันธุ์ต้านทานต่อสารกำจัดแมลงได้เร็วยิ่งขึ้น ตัวอย่าง จำนวนชั่วรุ่นต่อปีของศัตรูพืช เช่น ไรแดงแอฟริกัน ตั้งแต่ระยะไข่ถึงตัวเต็มวัย ใช้เวลาราว 7-9 วัน ดังนั้น ในรอบ 1 ปี (365 วัน) จะมีไรแดงรุ่นลูกหลาน มากถึง 40-52 รุ่น หรือเพลี้ยไฟ[4] จากระยะไข่เจริญเป็นตัวเต็มวัย ใช้เวลาราว 14-17 วัน ดังนั้น ในรอบ 1 ปี จะมีรุ่นลูกหลาน มากถึง 21-26 รุ่น

   3. การเคลื่อนย้ายของแมลง: การอพยพย้ายถิ่นของแมลงที่มีความแข็งแรงหรือความต้านทานเข้ามาในพื้นที่และผสมพันธุ์กับแมลงที่มีความแข็งแรงอยู่ก่อนแล้ว จะยิ่งส่งเสริมการพัฒนาความต้านทานได้เร็วยิ่งขึ้น ในทางตรงข้ามหากแมลงที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาเป็นประชากรแมลงที่มีความอ่อนแอย่อมทำให้รุ่นถัดไปมีความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงลดลง

   4. การคัดเลือกโดยสารกำจัดแมลง: ปกติในพื้นที่หนึ่งๆ จะมีประชากรแมลงที่มีความอ่อนแอและแข็งแรงต่อสารกำจัดแมลงปะปนกันไป การพ่นสารกำจัดแมลงจะเป็นการกำจัดแมลงอ่อนแอออกไป ส่วนแมลงที่แข็งแรงจะเล็ดลอดหลงเหลือและสืบพันธุ์ และถ่ายทอดพันธุกรรมที่แข็งแรงต่อไปยังรุ่นลูกหลาน ยิ่งมีแมลงอพยพเข้ามาเป็นแมลงที่มีความต้านทานร่วมด้วยจะยิ่งสร้างความต้านทานได้เร็วยิ่งขึ้น

[4]อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลต่อการพัฒนาเจริญวัยของเพลี้ยไฟและแมลงอีกหลายชนิดให้เร็วขึ้น ในอดีตกล่าวกันว่า เพลี้ยไฟจากระยะไข่เจริญเป็นตัวเต็มวัย ใช้เวลาราว 19-21 วัน หรือมากกว่านี้

ตอนถัดไป: จะกล่าวถึงการระบาดเพิ่มของแมลงและไรศัตรูพืช และสารกำจัดแมลงที่มีแนวโน้มส่งเสริมการระบาดเพิ่ม

แหล่งสืบค้น: 

    สุเทพ สหายา.2561.รู้ลึกเรื่อง สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง และไรศัตรูพืช.พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ.108 หน้า.

    คู่มือผู้ควบคุมการขายวัตถุอันตรายทางการเกษตร.2566.พิมพ์ครั้งที่ 1.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.183 หน้า.

    เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชกะหล่ำ เทคนิคการพ่นสารฆ่าแมลงในพืชผักและกลไกการต้านทานสารฆ่าแมลงของแมลงศัตรูผักที่สำคัญ.กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.86 หน้า.

    เอกสารวิชาการ.2564.การใช้สารกำจัดแมลงและไรศัตรูพืชเพื่อแก้ไขปัญหาความต้านทานศัตรูพืช.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชากาเกษตร.146 หน้า.

    IRAC.2019.Insecticide Mode of Action Training slide deck IRAC MoA Workgroup Version 1.0, April 2019.

    (https://irac-online.org)

    IRAC.2024.MODE OF ACTION CLASSIFICATION SCHEME VERSION 11.1, JANUARY 2024.

    (https://irac-online.org)

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts