โรคราแป้งในมะม่วง (Powdery mildew disease)

Thirasak Chuchoet • June 5, 2024
โรคราแป้งในมะม่วง (Powdery mildew disease of mango)

โรคราแป้งในมะม่วง (Powdery mildew disease of mango)
    สาเหตุ: เชื้อรา ซูโดอิเดียม แอนาคาร์ไดอิ (
Pseudoidium anacardii Braun and Cook (2012) หรือPs. mangiferae)

               เดิมชื่อ ออยเดียม แมงจิเฟออี้ (Oidium mangiferae Berthet)

    Family: Erysiphaceae

    Genus: Erysiphe

    Subgenus: Pseudoidium (เดิม Oidium)

ความสำคัญ

    เชื้อราก่อโรคราแป้ง (Powdery mildew disease) เป็นโรคพืชที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง มีพืชอาศัยกว้างหลายประเภท ทั้งธัญพืช พืชไร่ ไม้พุ่ม ผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ดอกไม้ประดับ และวัชพืช ดำรงชีวิตเป็นแบบปรสิตถาวร (obligate parasite) ลักษณะอาการของโรคที่ปรากฏจะคล้ายกันในทุกพืช การเข้าทำลายจะพบเป็นกลุ่มผงแผ่กว้างกระจายเป็นปื้นหรือคราบผงค่อนข้างกลม มีสีขาวถึงสีขาวอมเทา พบได้เกือบทุกส่วนของพืช เช่น ยอดอ่อน ใบ ก้านช่อดอก ดอก ผล สำหรับใบพืชสามารถพบการเจริญของเชื้อราได้ทั้งบริเวณผิวด้านบนของใบ (epiphyllous) และบริเวณด้านใต้ใบพืช (hypophyllous) 

    เชื้อราแป้งในจีนัสย่อยซูโดอิเดียม (subgenus: Pseudoidium) จัดเป็นเชื้อราที่มีเส้นใยแบบเส้นใยปรสิตภายนอก (ectophytic mycelium)[1] คือเชื้อรามีเส้นใย (mycelium) เจริญอยู่ภายนอกพืชแล้วสร้างเส้นใยที่ทำหน้าที่เฉพาะ (specialized hyphae) ในการดูดซับสารอาหารจากพืช ที่เรียกว่า haustoria แทงเข้าสู่ชั้นใต้ไขเคลือบผิวใบพืชและดูดซับสารอาหารอยู่ภายในชั้นอีพิเดอมิสเซลล์ (epidermal cell) เส้นใยไม่เจริญเข้าสู่เนื้อเยื่อภายใน จึงมักพบกลุ่มผงสีขาวหรือคราบคล้ายแป้งของราแป้งเจริญอยู่ใบผิวด้านบนของใบ (epiphyllous)

    ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเชื้อราแป้งสามารถสร้างสปอร์ใหม่ขึ้นภายใน 4 วัน หลังจากที่เชื้อสัมผัสพืช สปอร์จะถูกชูขึ้นไปในอากาศและแพร่กระจายต่อไป

    เชื้อราแป้งจีนัสย่อยซูโดอิเดียม เป็นสาเหตุก่อโรคพืชที่สำคัญในหลายพืช เช่น ทุเรียน มะม่วง เงาะ องุ่น ยางพารา สตรอเบอรี่ มะขาม กุหลาบ ทานตะวัน มะเขือ ตำลึง น้ำนมราชสีห์ หญ้าละออง แค เป็นต้น แม้เชื้อราแป้งจะก่อโรคในพืชหลายชนิด แต่เชื้อราแป้งที่ก่อโรคนั้นจะเป็นคนละสปีชีส์กัน (species)​ ซึ่งแต่ละสปีชีส์จะมีความจำเพาะต่อพืชอาศัย

[1] ราแป้งที่เจริญอยู่บริเวณด้านใต้ใบพืช (hypophyllous) ได้แก่ genus Ovulariopsis, Oidiopsis และ Streptopodium มีเส้นใยที่ทำหน้าที่ดูดซับสารอาหารจากพืชแบบเส้นใยปรสิตภายใน (endophytic mycelium) จะสร้างเส้นใย haustorium เจริญผ่านเข้าไปดูดซับสารอาหารภายในเนื้อเยื่อพืชผ่านทางปากใบ (stomata) แต่ไม่แทงเข้าไปในชั้นอีพิเดอมิสเซลล์

ภาพที่ 1: โรคราแป้งที่เกิดขึ้นกับวัชพืชที่อยู่ข้างแปลงหรือภายในแปลง

ลักษณะอาการ

    ในประเทศไทยส่วนใหญ่พบในมะม่วงที่ปลูกบนพื้นที่สูงบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าพื้นที่อื่น โรคราแป้งสามารถเข้าทำลายได้ทั้งที่ใบ ดอก ช่อดอก และผลอ่อน

ใบและยอดอ่อน

    อาการเริ่มต้นมักพบที่ใบแก่มากกว่าในใบเพสลาดและใบอ่อน​ โดยจะมีอาการใบเป็นจุดปื้นเหลืองค่อนข้างใหญ่บริเวณหน้าใบ และพบคราบผงสีขาวผงสีเทาอ่อนที่ใต้ใบตรงกับจุดปื้นเหลืองนั้น​ สำหรับใบอ่อนและยอดอ่อนจะพบอาการใบปื้นคล้ำ​ มีสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลอมแดง​คล้ายจุดใบไหม้​ บางครั้งในระยะแรกอาจมีสีชมพู​คล้ำ​

    หากอาการของโรครุนแรงจะทำให้ใบบิดเบี้ยว​ ม้วนงอ​และใบหลุดร่วงก่อนกำหนด​ ในใบอ่อนใบจะบิดโค้ง​ ยอดเป็นพุ่มแจ้​  ในช่วงอุณหภูมิ​สูง​ อากาศร้อนจัด​ ประกอบกับมะม่วงขาดน้ำอาจทำให้ใบอ่อนเกิดอาการใบไหม้แทรกซ้อนและใบร่วงหล่น​ได้ง่าย

ตาใบ-ตาดอก

    ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรครุนแรงมาก่อน​ อาจมีการสะสมของเชื้อรา​ โดยเชื้อราแป้งจะพักตัวตามตาใบหรือปลายยอดบริเวณที่จะเกิดตาดอกมะม่วง เมื่อมีการแทงยอดอ่อน-ใบอ่อน หรือแทงช่อดอก เชื้อราจะสร้างสปอร์เข้าสู่ใบหรือช่อดอกได้อย่างรวดเร็ว​ และทำให้ตาใบ-ตาดอกฟ่อ มักพบในช่วงอากาศเย็น​ ความชื้นสัมพัทธ์​ในอากาศ​ 60-90% และการถ่ายเทอากาศ​ไม่ดี​ หรือทรงพุ่มแน่นทึบ

ภาพที่ 2: โรคราแป้งในใบอ่อน-ใบเพสลาดของมะม่วง, มีอาการใบปื้นเป็นวงขนาดใหญ่สีชมพูอ่อน และมีแต้มจุดเป็นวงสีดำที่เกิดจากแมลงบั่วปมโอกินาว่า

ภาพที่ 3: โรคราแป้งในใบอ่อน-ใบเพสลาดของมะม่วง, ระยะพบคราบผงแป้งของเชื้อราแป้ง และแผลจุดสีดำล้อมด้วยขอบสีเหลือง ที่เกิดจากแมลงบั่วปมโอกินาว่า

ภาพที่ 4: โรคราแป้งในใบอ่อน-ใบเพสลาดของมะม่วง, คราบผงแป้งด้านใต้ใบและเส้นใบไหม้เปลี่ยนเป็นสีดำ

ช่อดอก

    การเข้าทำลายช่อดอกพบได้ทุกพื้นที่ของประเทศ​ โดยเฉพาะ​พื้นที่ที่มีการแทงช่อดอกมะม่วงช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม​ ส่วนช่วงเดือนกุมภาพันธ์​-เมษายน​ สามารถพบการเข้าทำลายของโรคได้เช่นกัน​ ช่อดอกมะม่วงจะมีความเสี่ยงเกิดโรคราแป้งมากกว่าส่วนอื่นของต้น​ และทำให้ดอกฟ่อ​ ผสมเกสรไม่สมบูรณ์​ ดอกหลุดร่วงหรือผลอ่อนหลุดร่วงเกิดความเสียหายมากถึง​ 90%

    อาการที่เกิดกับช่อดอกในระยะเริ่มแรกจะปรากฏจุดเล็กๆ สีขาว หรือสีขาวอมเทา จากนั้นจึงพบลักษณะเป็นผงสีขาวคล้ายแป้งปกคลุมตามก้านชูดอก ก้านช่อดอกย่อย และดอก​ ช่อดอกจะแห้งกร้าน ก้านช่อดอกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล​อ่อน ทำให้ดอกร่วง ช่อดอกแห้งเหี่ยว​ และไม่ติดผล​ ช่อดอกที่อยู่บริเวณตอนล่างหรือกลางลำต้น หรือช่อดอกที่อยู่ในเรือนพุ่มจะเกิดโรคได้ง่าย

    ปัจจุบัน​มักพบว่ามีเชื้อราก่อโรคชนิดอื่นเข้าทำลายแทรกซ้อน​ร่วมด้วย​ ทำให้เกิดอาการช่อดอกแห้งกร้าน ดอกร่วงอย่างรวดเร็ว ก้านช่อดอกและก้านช่อดอกย่อยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ช่อดอกแห้งตาย ลักษณะเช่นนี้มักเรียกกันว่า  "โรคช่อดอกดำมะม่วง" เชื้อราสำคัญที่เข้าแทรกซ้อน​ เช่นเชื้อราคอลเล็คโตทริคั่ม​ (โรคแอนแทรคโนส;  Colletotrichum​ sp.) เชื้อราฟิวซาเรียม (โรคช่อดอกพุ่มแจ้หรือช่อดอกไม้กวาด; Fusariumspp.) เชื้อราอัลเทอนาเรีย (Alternaria sp.) เชื้อราเคอวูลาเรีย (Curvularia sp.) เชื้อราคลาโดสปอเรียม (Cladosporium sp.) เชื้อราจีโอทริคั่ม (Geotrichum sp.) เชื้อราไนโกรสปอร่า (Nigrospora sp.) หรือเชื้อราแพสตาโลทิออพซีส (Pestalotiopsis sp.)

    นอกจากนี้​ ในระยะช่วงดอกมะม่วงกำลังตั้งช่อเป็นฉัตร​หรือระยะดอกก้างปลา​ มักจะเริ่มพบการระบาดของเพลี้ยไฟทำให้เกิดอาการช่อแห้งไหม้​ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดโรคราแป้งและโรคช่อ​ดอกดำรุนแรง​ จนบางครั้งแยกสาเหตุการเกิดโรคได้ยาก

ภาพที่ 5: ลักษณะผงสีขาวคล้ายแป้ง ที่เกิดจากโรคราแป้งบนช่อดอกมะม่วง

ภาพที่ 6: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, ช่อดอกแห้งเหี่ยว ดอกฝ่อและไม่ติดผลอ่อน

ภาพที่ 7: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, ช่อดอกแห้งเหี่ยว ดอกฝ่อและไม่ติดผลอ่อน

ผลอ่อน

    สำหรับช่อดอกที่สามารถติดผลได้​ เชื่อราจะเข้าสู่ผลอ่อน ทำให้ผลอ่อนชะงักการเจริญ​ และเปลี่ยนเป็นสีคล้ำมีคราบผงคล้ายแป้งสีขาวปกคลุม ส่วนผลที่โตแล้วหรือเข้าระยะไคล​ เชื้อราที่เข้าสู่ผลระยะนี้จะทำให้ผิวแห้งตกกระ

ภาพที่ 8: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, หากมีการติดผลเชื้อราจะเข้าสู่ผลและขั้วผล ทำให้ผลชะงักการพัฒนา

ภาพที่ 9: โรคราแป้งที่ปรากฏบนช่อดอกมะม่วง, หากมีการติดผลเชื้อราจะเข้าสู่ผลและขั้วผล ทำให้ผลชะงักการพัฒนา

การแพร่ระบาด

    โรคราแป้งในมะม่วงพบได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย แต่จะพบการแพร่ระบาดและสร้างสปอร์สืบพันธุ์มากในพื้นที่สภาพอากาศแห้งและเย็น​ โดยสปอร์สืบพันธุ์จะแพร่กระจายไปกับกระแสลม​ ซึ่งมักตรงกับช่วงระยะการแทงช่อดอกของมะม่วง (เดือน​ ธ.ค. - ก.พ.)​ จึงเป็นโรคพืชที่มีความสำคัญมากในระยะมะม่วงแทงช่อดอกและติดผลอ่อน​ สปอร์ของเชื้อราแพร่กระจายไปกับลมได้ดีในช่วงกลางวัน​ เนื่องจากความชื้นสัมพัทธ์​ต่ำ​ เนื่องจากเชื้อราแป้งจะแพร่กระจายได้ดีในช่วงอากาศแห้งซึ่งต่างจากเชื้อราชนิดอื่นที่ชอบความชื้น​ การแพร่ระบาดของเชื้อราแป้งสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงอุณหภูมิ​ระหว่าง​ 10-35 องศาเซลเซียส​ ความชื้นสัมพัทธ์​ 60-90% แต่แพร่กระจายและสร้างสปอร์สืบพันธุ์​ได้ดีในช่วงอุณหภูมิ​ 20-25 ​องศาเซลเซียส​ ​และความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ​ 60-70%

    เชื้อราแป้งสามารถอาศัยและพักตัวอยู่ได้นานข้ามปี​ ในพืชที่อื่นที่อยู่ข้างสวนมะม่วง​หรือในวัชพืช​ เมื่อสภาพอากาศเหมาะสมจึงแพร่สปอร์ไปในอากาศ

การป้องกันและกำจัด

   การป้องกัน:ควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคตั้งแต่ระยะแทงช่อดอก​ (ระยะเดือยไก่)​ ถึงระยะก่อนดอกบาน โดยพ่นทุกๆ 10-14 วัน​ หรือหากพบโรคราแป้งที่ช่อดอกมะม่วง​ และ/หรือโรคช่อดอกดำ​ ควรพ่นสารป้องกันกำจัด​โรค​พืช​ทุก​ 7​ วัน​ ​ต่อเนื่อง​อย่างน้อย​ 3​ ครั้ง

   สารป้องกันกำจัดโรคราแป้งที่แนะนำ​ ประกอบด้วย

   1. สารป้องกันกำจัด​โรค​พืช​ กลุ่ม​ 11+3 เช่น​ อะซอก​ซี่สโตรบิน​ 20%+ไดฟิโนโคนาโซล​ 12.5% SC (ชื่อการค้า​ ​ทวินโป)​ ป้องกันใช้อัตรา​ 10 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ เมื่อพบโรคใช้อัตรา​ 15​-20 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ หรือ ไพราโคลสโตรบิน​ 13.3%+อีพอกซีโคนาโซล​ 5% SE​ ป้องกันใช้อัตรา​ 20​ ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ เมื่อพบโรคใช้อัตรา​ 25-30​ ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​

   2. สารป้องกันกำจัด​โรค​พืช​ กลุ่ม​ 11​ เช่น​ อะซอกซี่สโตรบิน​ 25% (ชื่อการค้า​ ​เช่น ​แบคซีน)​ หรือ​ ไพราโคลสโตรบิน​ 25% (ชื่อการค้า​ แพ็คสโตรบิน​) ​ป้องกันใช้อัตรา​ 10 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ หรือเมื่อพบโรคใช้อัตรา​ 15-20 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​

   3. สารป้องกันกำจัด​โรค​พืช​ กลุ่ม​ 3 เช่น​ เฮกซะโคนาโซล​ 5% SC (ชื่อการค้า​ ​วิวสต็อป)​ ป้องกันใช้อัตรา​ 30-40​ ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ หรือเมื่อพบโรคใช้​ ไมโคลบิวทานิล​ 24% EC ​(เป็นยาที่แนะนำเป็นการส่วนตัว)​ อัตรา​ 25-30 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ 

    เลือกใช้สารตัวใดตัวหนึ่งตามด้านบน​ผสมร่วมกับสารป้องกันกำจัด​โรค​พืชที่มีหนทางเข้าสู่พืชเป็นยาสัมผัส​ สำหรับระยะช่อดอกมะม่วง​แนะนำ​กลุ่ม​ M03​ คือ​ โพรพิเนบ​ 70% WP​ (ชื่อการค้า​ ​​พีโคล70)​ ป้องกันหรือพบการระบาดของโรค​ ใช้อัตรา​ 30-50 กรัม​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ หรือทดแทนด้วย​ แมนโคเซบ​ 80% WP​ (ชื่อการค้า​ ​พีเทน80)​ ป้องกันหรือพบการระบาดของโรค​ ใช้อัตรา​ 30-50 กรัม​ ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร​ หรือกลุ่ม​ M05​ คือ​ คลอโรทาโลนิล​ 50% SC ป้องกันหรือพบการระบาดของโรค​ ใช้อัตรา​ 30-50 ซีซี.​ต่อน้ำ​ 20​ ลิตร

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

    โดยหลักการป้องกันหรือชะลอการ​ดื้อยาของโรค​-แมลงและวัชพืช​ คือการสลับกลุ่มยาตามกลไกการ​ออกฤทธิ์​ ณ​ ตำแหน่งเป้าหมายการออก​ฤทธิ์​หรือจุดจับของยาในระดับโมเลกุลของศัตรูพืช​ เพื่อให้จุดจับออกฤทธิ์​ ณ​ ตำแหน่งเป้าหมายไม่ซ้ำตำแหน่งเดิม​

    สำหรับกรณีสารป้องกันกำจัดโรคพืชมีข้อดีเหนือกว่าสารกำจัดแมลงและสารกำจัดวัชพืชประการหนึ่ง​  คือมียาที่ออกฤทธิ์​หลายกลไกหรือหลายตำแหน่งในยา​ 1 ตัว​ ได้แก่  ยากลุ่ม​ M​01 ถึง​ M12 เช่น ​ แมนโคเซบ​  โพรพิเนบ​ ​ คลอโรทาโลนิล​

    อาจารย์อรพรรณ​ วิเศษสังข์​ (จำปีที่อบรมไม่ได้)​ กล่าวในการอบรมโรคพืชช่วงหนึ่ง "มีงานวิจัยของประเทศสรุปว่า​ การพ่นสารป้องกัน​กำจัด​โรค​พืช​ที่มีคุณสมบัติ​เข้าสู่พืชแบบดูดซึม​ (systemic, translaminar และ​ stoma action) เช่น​ ยากลุ่ม​ 11, 3, 1, 4, 27 ร่วมกับสารป้องกัน​กำจัด​โรค​พืช​ที่มีคุณสมบัติ​เข้าสู่พืชแบบสัมผัส​ (contact action) เช่น​ ยากลุ่ม​ M​ แล้วสลับด้วยสารป้องกัน​กำจัด​โรค​พืช​ที่มีคุณสมบัติ​เข้าสู่พืชแบบสัมผัส​ จะช่วยชะลอความต้านทาน​ของโรคพืช​ (ดื้อยา)​ ลงได้​"

ดังนั้น​ การป้องกันโรคพืชระยะมะม่วงแทงช่อดอก​ ถึงระยะก่อนดอกบาน​ และหลังดอกบาน​ ถึง​ ระยะผลอ่อน ​(ผู้เขียน)​ แนะนำโปรแกรมพ่น​สารป้องกันกำจัดโรคพืช​ ดังนี้

ระยะเริ่มแทงช่อดอก​ (เดื่อยไก่):​ พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด  "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"

    ได้แก่​ โพรคลอราช​ 45% EC​ (กลุ่ม​ 3, ชื่อการค้า​ โบแอ็ก)​ อัตรา​ 15-20​ ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​​ ผสมร่วมกับโพรพิเนบ​ 70% (กลุ่ม​ M03, ชื่อการค้า พีโคล70)​ อัตรา​ 30-40​ กรัม​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร​ พ่น​ 1-2 ครั้ง​ ทุกๆ​ 9-10 วัน​

พ่นสลับยาด้วย​: สารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด  "ยาสัมผัส"

    ได้แก่ ยากลุ่ม​ M03​ ได้แก่ โพรพิเนบ 70% WP​ (พีโคล70) หรือแมนโคเซบ 80% WP (พีเทน80) อัตรา​ 30-40​ กรัม​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร หรือกลุ่ม​ M05​ ได้แก่ คลอโรทาโลนิล 50% SC หรือ 50% WP อัตรา​ 30-40​ ซีซี. หรือกรัม​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร พ่น​ 1 ครั้ง

พ่นสลับยาด้วย​: พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด  "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"

    ได้แก่ อะซอก​ซี่สโตรบิน​ 20%+ไดฟิโนโคนาโซล​ 12.5% SC (กลุ่ม​ 11+3, ชื่อการค้า ทวินโป)​ อัตรา​ 10-15 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร ผสมร่วมกับโพรพิเนบ​ 70% (กลุ่ม​ M03, ชื่อการค้า พีโคล70)​ พ่น​ 1-2 ครั้ง​ (เว้นระยะดอกบาน) โดยพ่นทุกๆ​ 7-10​ วัน​

พ่นสลับยาด้วย: สารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด  "ยาสัมผัส"

    ได้แก่ ยากลุ่ม​ M03​ ได้แก่ โพรพิเนบ 70% WP​ (พีโคล70) หรือแมนโคเซบ 80% WP (พีเทน80) อัตรา​ 30-40​ กรัม​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร หรือกลุ่ม​ M05​ ได้แก่ คลอโรทาโลนิล 50% SC หรือ 50% WP อัตรา​ 30-40​ ซีซี. หรือกรัม​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร พ่น​ 1 ครั้ง

หลังติดผลอ่อน​: พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด  "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"

    ได้แก่​ เฮกซะโคนาโซล​ 5% SC (กลุ่ม​ 3, ชื่อการค้า วิวสต็อป)​ อัตรา​ 30​ ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​ หรือ​ อะซอก​ซี่สโตรบิน​ 20%+ไดฟิโนโคนาโซล​ 12.5% SC (กลุ่ม​ 11+3, ชื่อการค้า ทวินโป)​ อัตรา​ 10 ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร ผสมร่วมกับโพรพิเนบ​ 70% (กลุ่ม​ M03)​ พ่น​ 2 ครั้ง​ โดยพ่นทุกๆ​ 7-10​ วัน​

เมื่อผลเข้าไคล​ (หลังดอกบาน​ 25-30​ วัน)​: พ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชชนิด  "ยาดูดซึม + ยาสัมผัส"

    ก่อนห่อผลพ่นด้วย​ โพรคลอราช​ 45% EC​ (กลุ่ม​ 3, ชื่อการค้า​ ​โบแอ็ก)​ อัตรา​ 15-20​ ซีซี.ต่อน้ำ​ 20 ลิตร​​ ผสมร่วมกับโพรพิเนบ​ 70% (กลุ่ม​ M03)​ อัตรา​ 30-40​ กรัม​ ต่อ​น้ำ​ 20​ ลิตร​

หมายเหตุ: 

*1 โพรคลอราซ​ ไดฟิโนโคลนาโซล​ อะซอกซี่สโตรบิน​ และไพราโคลสโตรบิน​ ใช้ป้องกันกำจัดโรคแอนแทรคโนสและโรคช่อดอกดำของมะม่วงได้​ โดยเฉพาะ​โพรคลอราซ

*2 โพรคลอราซ​ มีข้อห้ามใช้ในมะม่วงพันธุ์​โบราณบางสายพันธุ์​ เช่น​ มันขุนศรี (บางขุนศรี), ทวายเดือนเก้า (มันเดือนเก้า), หนังกลางวัน, ลิ้นงูเห่า, แก้วลืมรัง, ยายกล่ำ เป็นต้น เพราะอาจเกิดอาการดอกไหม้​ ใบไหม้​ และผลไหม้ได้

*3 ไม่แนะนำพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชเหล่านี้ ในระยะมีดอก ​ถึง ผลเข้าไคลของมะม่วง​ ได้แก่​ ไตรฟลอกซี่สโตรบิน 25%+ทีบูโคนาโซล​ 50% WG, ทีบูโคนาโซล​ 25%, 43% และ​ 45%, ไดฟิโนโคลนาโซล​ 15%+โพรพิโคนาโซล​ 15% EC, โพพิโคนาโซล​ 25% และ​ 45% เพราะมีผลต่อการขยายขนาดผล​ (รัดลูก)​

    หรือไมโคลบิวทานิล​ 24% EC​ ​ห้ามพ่นเกินอัตราแนะนำด้านบน และไม่ควรพ่นต่อเนื่องกันเกิน​ 2 ครั้ง​ เพราะมีผลต่อการขยายขนาดผล​ (รัดลูก)​

แหล่งสืบค้น:

    ชัยวัฒน์  โตอนันต์. 2548. เอกสารคำสอนวิชาเชื้อราแป้ง. ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตรศาสตร์. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 117 หน้า.

    พรศิลป์ สีเผือก, ชัยสิทธิ์ ปรีชา, เวที วิสุทธิแพทย์, พรศิลป์ สีเผือก, ชัยสิทธิ์ ปรีชา, เวที วิสุทธิแพทย์. (2555). การศึกษาการแพร่ระบาด ความรุนแรงของโรคราแป้งของเงาะ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชและพัฒนาแนวทางในการควบคุมโรคราแป้งDistribution and Severity Assessment of Powdery Mildew of Rambutan in Nakhon Sri Thammarat Province and Developing the Control Approach. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย.
    ไพโรจน์ จ๋วงพานิช.2525.หลักวิชาโรคพืช PRINCIPLE OF PLANT PATHOLOGY.ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 2 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) : บริษัท สารมวลชน จำกัด.393 หน้า.
    นิพนธ์ วิสารทานนท์.2542.โรคไม้ผลเขตร้อนและการป้องกันกำจัด.เอกสารเผยแพร่ทางวิชาการ หลักสูตร “หมอพืช-ไม้ผล” ฉบับที่1 โครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบเนื่องจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ ปี 2542.ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่ 2 : บริษัท เจ ฟิล์ม จำกัด.172 หน้า.
    เอี่ยน ศิลาย้อย.2561.โรคพืชไม้ผล สมุนไพร และการป้องกันกำจัด.พิมพ์ครั้งที่ 4.
    เอกสารเกี่ยวกับการจำแนกเชื้อราแป้ง. เว็ปไซด์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    <http://cmuir.cmu.ac.th/bitstream/6653943832/19870/5/patho0450nw_ch2.pdf. Retrieved 12 June 2023.>
    Latiffah ZakariaORCID.2022.Fungal and Oomycete Diseases of Minor Tropical Fruit Crops

by Latiffah ZakariaORCID.Horticulturae 2022, 8(4), 323; https://doi.org/10.3390/horticulturae8040323. Published: 11 April 2022. Retrieved 12 June 2023.
    M. Reuveni and R. Reuveni.Efficacy of foliar sprays of phosphates in controlling powdery mildews in field-grown nectarine, mango trees and grapevines.Crop Protection Volume 14, Issue 4, June 1995, Pages 311-314.https://doi.org/10.1016/0261-2194(94)00009-W.

    <www.sciencedirect.com.>
    Moshe Reuveni, Lior Gur and Amotz Farber.Development of improved disease management for powdery mildew on mango trees in Israel.Crop Protection Volume 110, August 2018, Pages 221-228.https://doi.org/10.1016/j.cropro.2017.07.017.

    <www.sciencedirect.com.>
    Moshe Reuveni.Efficacy of trifloxystrobin (Flint), a new strobilurin fungicide, in controlling powdery mildews on apple, mango and nectarine, and rust on prune trees.Crop Protection Volume 19, Issue 5, June 2000, Pages 335-341.https://doi.org/10.1016/S0261-2194(00)00026-0.

<www.sciencedirect.com.>
    Scot C. Nelson. Mango Powdery Mildew.Department of Plant and Environmental Protection Sciences.Plant Disease.Aug, 2008, PD-46.College of Tropical Agriculture and Human Resources (CTAHR )of Hawai‘i at Mänoa.

    <http://www.ctahr.hawaii.edu/freepubs>

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts