มิลินทปัญหา "ถาม-ตอบปัญหาเรื่องการใช้ปุ๋ยในไม้ผล"

Thirasak Chuchoet • September 30, 2024
มิลินทปัญหา การถาม-ตอบปัญหาเรื่องการใช้ปุ๋ยในไม้ผล
มิลินทปัญหา การถาม-ตอบปัญหาเรื่องการใช้ปุ๋ยในไม้ผล

ถาม​ : แอดครับ 13-0-46 กับ ปุ๋ย กลางท้ายสูงนี่ บริบทกระตุ้นการออกดอก เหมือนกันไหมครับ.? 

ตอบ​ : หลักการคล้ายๆ​ กัน ปุ๋ยสูตรกลาง-ท้ายสูง​ เช่น​ 0-52-34​ (monopotassium phosphate; MKP, สูตรเคมี​ KH2PO4) จะกระตุ้นการสะสมน้ำตาลของพืช​ (เคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบแก่​ โดยปุ๋ยตัวท้าย​ [ธาตุโพแทสเซียม​, K])​ และไม่มีไนโตรเจน​ (N)​ จึงลดการเกิดตาใบ​ ตาแขนง เมื่อต้นพร้อมก็พัฒนาตาดอกได้

    ปุ๋ยสูตร​ 13-0-46​ มีไนโตรเจน​ (N)​ ที่อยู่​ในรูปไนเตรท​ (nitrate, สูตรเคมี NO3-)​ ซึ่งไนเตรทมีคุณสมบัติเป็นสารกระตุ้นชีวภาพหรือกระตุ้นการเจริญ​ 

    การพ่นปุ๋ย​ 13-0-46​ ไปบริเวณที่จะเกิดตาดอก​ จึงเป็นการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อเจริญ​พัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อตาดอกหรือตาใบ​​ เมื่อปุ๋ย​ 13-0-46​ มีโพแทสเซียม​สูง​ และต้นสะสมอาหารมาอย่างเพียงพอก็จะพัฒนา​เป็นตาดอกมากกว่าตาใบ

    เห็นไหมว่า​ มีความคล้ายหรือต่อเนื่องกัน​ แต่บริบทไม่เหมือนกัน

  *ในทางวิชาการ​ “สารกระตุ้นชีวภาพ​; ไบโอสติมิว ​(biostimulants​​)” ถูกใช้ครั้งแรกในการประชุมนานาชาติที่ประเทศฝรั่งเศส เมืองสตราสบูร์ก ในเดือนพ.ย.​ 2555 ในการประชุมสหภาพแห่งโลกว่าด้วยการใช้สารเร่งเชิงชีวภาพในการเกษตร ครั้งที่ 1 (First World Congress of the Use of Biostimulants in Agriculture))​

ถาม​ : แอด.. แล้วการสะสมอาหารกับ​ C:N​ เรโช​ คือยังไง.? 

ตอบ​ : การสะสมอาหารมักกล่าวถึงเรื่อง​“สัดส่วนระหว่าง​ซี​ ต่อ​ เอ็น​ (C:N​ ratio)​”​ โดย​ซี​ (C) ต้องมากกว่าเอ็น​ (N)​ จึงจะส่งผลต่อการเกิดตาดอก​ (ตามที่ทราบกันทั่วไป)​ ซึ่งขอขยายความดังนี้

   “ซี​” คือ​ คาร์บอน​ (Carbon; C)​ ซึ่งในความหมายของ​สัดส่วน​ซี​ (C)​ จะกล่าวถึง​“สารประกอบ​คาร์บอน​ (Carbon compound)”

   สารประกอบคาร์บอน​ คือ​ สารใด ๆ​ หรือธาตุใด ๆ​ ที่รวมตัวกันเป็นสารชนิดหนึ่ง ๆ​ (โมเลกุล)​ แล้วมีธาตุคาร์บอน​ (ซี​; C)​ เป็น​องค์ประกอบหลัก​ โดยทั่วไปในการสะสมอาหารจึงมักกล่าวถึง​“การสะสมคาร์โบไฮเดรต​และน้ำตาล​” น้ำตาลหลาย ๆ​ โมเลกุลมาเชื่อมต่อกันเป็นคาร์โบไฮเดรตและแป้ง​ และน้ำตาลที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดได้มาจากการสังเคราะห์​แสงของพืช​ คือ​ น้ำตาลกลูโคส​ หรือในอีก​ชื่อคือ​ เด็กซ์โตรสโมโนไฮเดรต​ พืชสะสมน้ำตาลในรูปของแป้งหรือเซลลูโลส​ และน้ำตาลคือแหล่งพลังงาน​ที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

    สารประกอบ​คาร์บอนอื่น ๆ​ เช่น​ กรดไขมัน​ และกรดอะมิโน-โปรตีน​ และสารประกอบอินทรีย์อื่น ๆ​ สำหรับการสะสมอาหารของพืชเพื่อสร้างตาดอก​ มักกล่าวถึงเพียงคาร์โบไฮเดรต​และหลงลืมตัวอื่น

   “เอ็น” คือ​ ไนโตรเจน​ (Nitrogen; N) สำหรับการสะสมอาหาร​โดยทั่วไป​จะกล่าวถึงการลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนหรืองดหว่านปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง​ แต่หากพิจารณา​หลักการทางสรีระของพืช​โดยเฉพาะ​เรื่องการใช้สารอาหารและปุ๋ยเพื่อการเจริญพัฒนาของไม้ยืนต้นและไม้ผลของ​ Legaz และคณะ​ (ค.ศ. 1982) และ​ Dasberg (ค.ศ. 1983 และ​ 1987) จะพบว่า​ การหว่านปุ๋ยไนโตรเจนให้แก่พืช​ จะมีไนโตรเจนเพียง​ 20% เท่านั้น​ ที่พืชนำไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต​และส่วนใหญ่​นำไปใช้เพื่อการสร้างตาใบและตาดอก​ ที่เหลือจะนำปุ๋ยและสารอาหารที่สะสมไว้ในต้นมาใช้​ ส่วนปุ๋ยที่หว่านให้พืชอีก​ 80% จะถูกนำไปเก็บสะสมในลำต้นและกิ่งขนาดใหญ่“พืชเปลี่ยน​ไนโตรเจนเป็นกรดอะมิโนและโปรตีน​ และยามขาดแคลนไนโตรเจน พืชจะสลายกรดอะมิโนเพื่อให้ได้ไนโตรเจน​”

    เมื่อไนโตรเจนเข้าสู่รากพืช​ พืชจะเปลี่ยน​ไนโตรเจนเป็นกรดอะมิโน​ (สังเคราะห์​กรดอะมิโน)​ ได้ทั้งที่รากและที่ใบ ซึ่งกรดอะมิโนจัดว่าเป็นแหล่งไนโตรเจนสำรองของพืช​ แต่ในภาวะปกติไม่ถือว่าเป็นไนโตรเจน​ แต่จะเป็นกรดอะมิโน-โปรตีน​ เรียกในภาพรวมใหญ่ ๆ​ ว่า​ สารประกอบคาร์บอน​ (C-compounds)​ เนื่องจากองค์ประกอบ​ของกรดอะมิโนส่วนใหญ่​เป็นธาตุคาร์บอน​ ดังสูตรโครงสร้างเคมีของกรดอะมิโนอย่างง่าย​ คือ​ NH2-CHR-COOH โดย​ R​ จะเป็นแขนงที่เป็นธาตุใด ๆ​ ก็ได้​ รวมถึง​ C​ และทำให้เกิดกรดอะมิโนชนิดต่าง ๆ​ การเปลี่ยนไนโตรเจนเป็นกรดอะมิโนจะมีเอนไซม์เป็นตัวสังเคราะห์​ และเอนไซม์​มีธาตุโพแทสเซียม​เป็นตัวปลุกฤทธิ์​หรือกระตุ้นการทำงาน และโพแทสเซียม​ (K)​ แม้ไม่ได้เป็นองค์​ประกอบใด ๆ​ ในพืช​ (เลย)​ แต่มีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการมากมายในพืช​ เช่น

    1. ควบคุมการเปิด-ปิดปากใบ​ จึงมีผลต่อการสังเคราะห์​แสง​ เพื่อให้ได้น้ำตาล

    2. ควบคุมแรงดันภายในเซลล์​ ส่งผลต่อการขยายขนาด​ทั้งขนาดใบ​ กิ่ง​ ก้าน​ ดอก​ และผล​ โดยมีน้ำเป็นตัวทำให้เกิดการขยายขนาดเซลล์

    3. ควบคุมศักย์ออสโมซีส​ จึงสำคัญต่อการเข้าออกของสารต่าง ๆ​ ของเซลล์​

    4. ควบคุมและเป็นตัวทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบที่สังเคราะห์​แสง​ไปยังส่วนต่างๆ​ รวมถึงการสะสมอาหาร

    5. ควบคุมความเป็นกรด-ด่างภายในเซลล์

    6. กระตุ้นการทำงานต่าง ๆ​ ภายในระดับเซลล์​ ผ่านการเป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์

    7.​ เป็นตัวส่งสัญญาณบางประการในพืช​ เพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม​ โรค​ แมลง

    8.​ พืชที่มีโพแทสเซียม​เพียงพอ​ จะทำให้ทนทานต่อโรคมากกว่าพืชที่ขาดโพแทสเซียม​ หรือพืชที่ได้รับไนโตรเจนมากเกินไป

    9.​ ความแข็งแรงของเปลือก​ ลำต้น​ กิ่ง​ เป็นผลมาจากการเคลื่อนย้ายน้ำตาล​ และสารอาหารอื่น ๆ​ เช่น​ กรดอะมิโน

    ต้องอย่าลืมว่า​ปุ๋ยที่พืชดูดใช้ผ่านราก​ส่วนใหญ่​ (คิดว่ามากกว่า​ 80-90%) จะถูกลำเลียงไปยังใบแก่มากกว่าส่วนอื่น​ โดยเฉพาะ​ใบแก่ที่ได้รับแสงอย่างเพียงพอ​ เพราะการลำเลียงปุ๋ยจากราก​จะไปพร้อมกับน้ำภายในท่อลำเลียงน้ำ​ และน้ำในท่อนี้จะลำเลียงได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอัตราการคายน้ำ​ การคายน้ำเป็นกระบวนการที่มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์​แสง

    ดังนั้น​ การใช้ปุ๋ยตามความคิดที่ว่า​ ต้องการสร้างใบ​ เร่งยอด​ หรือทำชุดใบใหม่​ ต้องใช้ปุ๋ยตัวหน้าสูง ๆ​​ จึงเป็นวิธีการที่ทำให้พืชได้รับธาตุใดธาตุหนึ่งแบบมากเกินพอดีหรือบางธาตุก็น้อยไป

    กรณีใช้ไนโตรเจนมาก ๆ​ เช่น​ หว่านปุ๋ยสูตร​ 46-0-0, 25-7-7, 12-3-3 จึงทำให้พืชอ่อนแอ​ และเป็นโรคง่าย

ถาม​ : ครับ แล้วเราจะเลือกยังงัย ให้ตรงกับจังหวะ หรือความต้องการของพืชครับ.? 

ตอบ​ : การใช้ปุ๋ยให้ตรงจังหวะ​ โดยส่วนตัวผมจะหมายถึง​ การใช้ปุ๋ยเพื่อปรับพฤติกรรมของพืชบางประการเท่านั้น​ เช่น ช่วงต้องการสร้างหรือเตรียมต้นก่อนทำดอก​ จะใช้ปุ๋ยสูตร​ 8-24-24​ (สูตรมหาชน แต่ส่วนตัวไม่แนะนำ)​, 14-7-35, 10-10-30 หรือ 14-10-30

    ช่วงก่อนเก็บเกี่ยว​ก็เช่นกัน​ จะใช้ปุ๋ยสูตร​ 15-5-25, 15-5-35, 14-7-35 ประมาณนี้

ถาม​ : พืชแต่ละตัวจังหวะก็ไม่เหมือนกันด้วยสิ.? 

ตอบ​ : แบ่งจังหวะง่ายมาก​

    ในพืชไม้ผลลุกให้ผล​ เช่น​ พริก​ มะเขือ​ พืชตระกูล​แตง​ ระยะปลูกใหม่ ๆ​ ก่อนออกดอก หรือไม้ผลปลูกใหม่​ และไม้ผลที่ให้ผลหลายรุ่นต่อปี​ จะใช้ปุ๋ยสัดส่วน​ N-P-K​ ​หน้า-ท้าย​ เสมอกัน​ หรือโยกหน้านิดหน่อย​ เช่น​ ปุ๋ย​สัดส่วน​ 4-1-3, 3-1-3 ตัวอย่างสูตรปุ๋ย​ คือ​ 21-7-18, 20-8-20, 21-3-21, 22-4-22 หรือ​ 19-9-19

    แต่ถ้าเราหันมาใช้การเร่งการเจริญ​เติบโต​ของใบ​ยอด​ กิ่งก้านและลำต้น​ ด้วยการพ่นทางใบ​ เช่น​ กระตุ้นการแตกยอดอ่อนด้วยสาหร่ายทะเล​ ผสม ปุ๋ยเกล็ดทางใบ​ 15-0-0​ การใช้ปุ๋ยทางดินก็อาจใช้ปุ๋ยสูตรโยกหลังนิดหน่อยได้​ เช่น​ ปุ๋ยสัดส่วน​ 3-1-4​ ตัวอย่าง​สูตรปุ๋ย​ คือ​ 15-5-20​

    พอพืชตั้งตัวได้​ หรือในไม้ผลที่ทำชุดใบ​ ก็จะเป็นเป็นปุ๋ยสัดส่วน N-P-K โยกท้าย​ เช่น สัดส่วน 3-1-4, 3-1-5​ ตัวอย่างสูตรปุ๋ย​ คือ​​ 15-5-20​ และ​ 15-5-25​

    ส่วนการใส่ปุ๋ยให้ตรงกับความต้องการของพืช​ จะ​พิจารณา​จากปริมาณ​ปุ๋ยที่พบในเนื้อเยื่อพืช​ หรือปุ๋ยที่พบในพืช​ โดยจะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์​หรือความเข้มข้นต่อเนื้อเยื่อพืช​ 1 กก.​ เช่น​ เราพบว่าในกลุ่มไม้ผล​ ไม้ยืนต้น​ พืชผักให้ผล​ จะมีปริมาณ​ปุ๋ยคราว ๆ​ ในพืชคล้าย ๆ​ กัน​ แต่เมื่อคำนวณออกมาเป็นสัดส่วน​ N-P​-K​ (ไนโตรเจนต่อฟอสฟอรัสต่อโพแทสเซียม)​ จะเหมือนกัน​ แต่จะแตกต่างกันเล็กน้อยในบางพืชและบางระยะการเจริญเติบโต​ ดังนี้

    ระยะเจริญ​เติบโตทั่วไป​ มักพบปุ๋ย​ N, P และ K โดยประมาณ​ คือ

      N = 1.8-2%

      P​ = 0.25-0.45%

      K​ = 1.6-2.2%

    เมื่อนำตัวเลขมาเทียบเป็นสัดส่วน​ จะได้​ประมาณ​ 20-1-18 ถึง​ 20-1-22​

    แต่ในความเป็นจริงจะหาสูตรปุ๋ยที่มี​ P​ ต่ำระดับนี้ยาก​ ดังนั้น​ ถ้าเป็นปุ๋ยระบบน้ำ​ที่ใช้แม่ปุ๋ยมาผสมเองจะทำได้​ แต่ถ้าเป็นปุ๋ยแบบหว่านทั่วไป​ ก็จะไปตรงกับปุ๋ย​สัดส่วน​ 3-1-4, 3-1-5, 3-1-3, 4-1-3 และเมื่อดูสูตรปุ๋ยก็จะได้สูตร​ 15-5-20, 15-5-25, 20-8-20, 21-7-18 ประมาณนี้

    ทีนี้​ การเจริญของพืชก็จะสัมพันธ์​กับสัดส่วนปุ๋ยที่พบในพืช​ หมายความ​ว่า​ต่อให้เราพบว่าบางช่วงมี​ฟอสฟอรัส​ (P)​ ในพืชสูงมากกว่า​ 0.25-0.45% แต่ไนโตรเจน​ (N)​ และ​โพแทสเซียม​ (K)​ ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย​ ดังนั้น​ จึงเป็นที่มาว่า​ เมื่อพืชต้นเล็ก ๆ​ หรือมีทรงพุ่มใบเล็ก ๆ​ ก็ใส่ปุ๋ยตามสัดส่วนที่พบในพืชในอัตราที่น้อยหน่อย​ เมื่อโตขึ้นก็ใช้ตามสัดส่วนในปริมาณ​ที่เพิ่มขึ้น​ หรือเมื่อมีดอกมีผล​ ก็เพิ่มปริมาณ​ปุ๋ยขึ้นไป​ แต่ยังคงสัดส่วนของปุ๋ยตามเดิม

ถาม​ : ช่วงที่กำลังออกดอก หรือออกผล สัดส่วนยังเป็นเท่านี้ไหมครับ.?

ตอบ​ : แบบนี้เลย​ สัดส่วนไม่เปลี่ยนแปลง​ ยกเว้นช่วงก่อนเก็บเกี่ยว แต่สูตรปุ๋ยหรือสัดส่วนแบบนี้​ ก็จะมีลักษณะ​ของเนื้อดินและฝนให้พิจารณา​ประกอบ

ถาม​ : บอกให้ทำแบบพิศดารนี่ขัดใจคนอีกแระ แต่น่าสนนะ.. เราแทบไม่ต้องเปลี่ยนปุ๋ยเลย​ เปลี่ยนแค่ทางใบ.? 

ตอบ​ : ถูกต้องนะคร้าบบบบบ

    แต่พอไปดูปุ๋ยระบบน้ำ​ จะมี​ 2 สูตร​ คือ​ ปุ๋ยสูตรโยกหน้า​ กับปุ๋ยสูตรโยกหลัง​ แค่เพิ่มปริมาณ​ปุ๋ยตามการเจริญเติบโต​และการให้ผลผลิตของพืช​ เช่น​ ที่ประเทศอิสราเอล

    ส่วนตัวตอนไปทำงานที่อิสราเอล​ ยังไม่เคยเห็นคำแนะนำใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสสูง​ หรือตอนนักวิชาการของอิสราเอลมาสอนผม​ ​สมัยผมดูแลและปลูกพืชในโรงเรือน ก็ไม่เคยสอนผมเรื่องก่อนพืชมีดอกต้องใส่ฟอสฟอรัส (P)​ สูง ๆ​ นะ

    คือ ตอนนี้คอนเทนต์​ ปุ๋ยสูตร​ 8-24-24​ หรือสูตรใกล้เคียงกันแบบนี้​ ลามปาม​ไปถึงพืชล้มลุก​ อย่างมะเขือ​เทศ​ พริก​ มะเขือ​ พืชตระกูล​แตง​ มะละกอ​ แล้วนะ..

    *คำว่าปุ๋ยสูตรโยกหน้า​ หรือปุ๋ยโยกท้าย​ หมายถึง​ สูตรปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัส​ต่ำ​ แต่มีไนโตรเจน​และโพแทสเซียม​สูง

ถาม​ : แบบนี้ได้ไหมครับ ถ้า สมมติเราจะใส่ 15-5-25 นี่.. เราแบ่งใส่ 3 ช่วง ช่วงที่ 1 ใส่ปุ๋ยสูตรหน้าสูง ช่วงที่ 2 ใส่ปุ๋ยครบสูตร​ ช่วงที่ 3 ใส่ปุ๋ยตัวท้ายสูง แต่ทั้ง​ 3 ช่วง​ รวมกันจะได้ปุ๋ยสูตร 15-5-25 แบบนี้ได้ไหมครับ.?

ตอบ​ : ไม่ได้ดิ.! สมมุติ​เอาแบบช่วงระยะใกล้ ๆ​ กันของไม้ผลเลย​ เช่น

    ระยะแตกใบอ่อน​ จนถึง​ ใบเพสลาด​ ถ้าในสภาพปกติ​ แดดดี ความชื้นเหมาะสม​ อายุพัฒนาใบ​จะราวๆ​ 45​ วัน

    ในระยะ​ 45​ วัน​ ถ้าตอนแตกใบอ่อน​ สาดปุ๋ยสูตร​ 46-0-0​ พอใบคลี่กาง​ สาดปุ๋ยสูตร 15-15-15 พอใบเข้าใบเพสลาด​ สาดปุ๋ยสูตร​ 0-0-60​ หรือ​ 14-7-35​

    คำถาม.? ​ ตอนใบเริ่มคลี่​ หรือก่อนใบคลี่​ พืชก็จะใช้ปุ๋ยสัดส่วน​ 3-1-4 แต่.!! จะได้แค่ปุ๋ย​ตัวหน้า​ (ปุ๋ย​ 46-0-0)​

    ซึ่งการใส่แบบนี้​ เราจะสังเกตุเห็นได้ว่า​ ใบจะบาง​ ใบยาว​ และไม่แข็งแรง​ เพราะทุกระยะที่พัฒนาในทุก ๆ​ วัน​ พืชต้องการสัดส่วน​ N-P-K​ และธาตุตัวอื่น ๆ​ ในสัดส่วนเดิม

    ถ้าเป็นลูกค้าผมปัจจุบัน​ รู้จักปุ๋ยอยู่​ 3 สูตร

    1. ปุ๋ยสูตร 15-5-20

    2. ปุ๋ยสูตร 15-5-25

    3. ปุ๋ยสูตร​ 14-7-35

    โดย​ 2 สูตรแรก​ ใช้เป็นประจำตั้งแต่ฟื้นต้นยันพัฒนาผล

    สูตร​ที่​ 3 ใช้แทน​ 8-24-24 และใช้ช่วงผลใกล้เก็บเกี่ยว​ หรือช่วงขยายขนาดผลแต่ฝนตกชุก

    แต่ระยะฟื้นต้น​ อาจมีพลิกแพลง​บ้างเล็กน้อย​ เช่น ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมี​ สำหรับคนที่ไม่อยากนำปุ๋ยเคมีมาผสมกับปุ๋ยอินทรีย์​เอง​ หรือหว่านปุ๋ยเคมีพร้อมปุ๋ยอินทรีย์

    ดังนั้น​ จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมีสูตร​ 9-3-5, 10-3-10 เป็นต้น แต่ถ้าใครสะดวกซื้อแยกแล้วหว่านพร้อมกัน​ (ต้นทุนถูกกว่า)​ ก็จะใช้​ 20-8-20, 21-7-18, 22-3-22 กับปุ๋ยอินทรีย์

ถาม​ : อ่อครับผม.. โอเคร เข้าใจแล้วครับ

ตอบ​ : ปริมาณ​การใส่ปุ๋ย​ ถ้าเป็นไม้ผลก็ดูตามขนาดทรงพุ่ม

    ถ้าเส้นผ่านศูนย์กลาง​ทรง​พุ่ม​ 1 เมตร​ ใส่ปุ๋ยเคมี​ 1 ขีด​ต่อต้น​ต่อเดือน​ สำหรับปุ๋ยเคมี​ที่มีเนื้อปุ๋ยรวมกันตั้งแต่​ 35% ขึ้นไป​ เช่น​ ปุ๋ยเคมีสูตร​ 15-5-20​ มีเนื้อปุ๋ยรวมกันเท่ากับ​ 40% หรือปุ๋ยเคมีสูตร​ 20-8-20 มีเนื้อปุ๋ย​รวมกันเท่ากับ​ 48%

    ถ้าเป็นปุ๋ยที่มีเนื้อปุ๋ยรวมกันน้อยกว่า​ 25-30% ลงมา​ ก็ต้องเพิ่มปริมาณ​ปุ๋ย​ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์เคมีสูตร​ 10-3-10 มีเนื้อปุ๋ยรวมกัน​ เท่ากับ​ 23​% ก็ต้องเพิ่มปริมาณ​ปุ๋ยที่ใส่ขึ้น​เป็น​ 2 ขีดต่อเส้นผ่านศูนย์กลาง​ทรง​พุ่ม​ 1 เมตร​ หรือ​ปุ๋ย​อินทรีย์เคมี​สูตร​ 9-3-5​ มีเนื้อปุ๋ยรวมกัน​ 17% ก็ต้องเพิ่มปริมาณ​การใส่ปุ๋ยเช่นกัน

    สำหรับช่วงติดดอกและผล​ ก็เพิ่มปริมาณ​ปุ๋ยขึ้น​ ทีละ​ 10-25% ตามการเจริญเติบโต​ของดอกและผล ถ้าจะให้ดี​ ควรแบ่งใส่ปุ๋ย​ 2-4 ครั้งต่อเดือน​ จากปริมาณ​ปุ๋ยที่ต้องใส่ต่อเดือน​ ตัวอย่างเช่น​ ต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง​ทรงพุ่ม​ เท่ากับ​ 8​ เมตร​ จะต้องใส่ปุ๋ยราว ๆ​ 8​ ขีดต่อต้นต่อเดือน​ แบ่งใส่​ 2 ครั้ง​ แต่ละครั้งใส่ปุ๋ยราว​ 4 ขีด

ถาม​ : ทุกช่วงอายุ ทุกช่วงการพัฒนา ใช่ไหมครับ.? 

ตอบ​ : Yes.. แต่อย่าลืมธาตุอื่น ๆ​ นอกเหนือจาก​ N, P และ​ K เช่น​ ธาตุ​แคลเซียม​และจุลธาตุ

ถาม​ : ครับผม, อ้อ.. จุลธาตุสังกะสี ถ้าเจอขาดทุกรอบใบ ควรเพิ่มทางดินไหมครับ.? 

ตอบ​ : แหล่งธาตุรอง​ ก็​ โดโลไมท์ ยิปซั่ม, จุลธาตุก็อินทรีย์วัตถุ​ หรือแร่จากเหมืองภูเขาไฟ​ ในปุ๋ยปรับสภาพบางยี่ห้อ​ เช่น​กรีนลีฟMIC​ มีทั้งโดโลไมท์และแร่ภูเขาไฟ​

    จุลธาตุ​ ควรพ่นเสริมทางใบจะดีมาก ๆ​ ปกติผมให้ลูกค้าพ่นทุกรอบ​ ถ้าช่วงแรก ๆ​ ที่ดินยังขาดอินทรีย์​วัตถุและใช้ปุ๋ยสูตร​ P​ สูงมาตลอด​ เช่น​ 15-15-15, 16-16-16, ​ 13-13-21, 12-12-17, 8-24-24 การพ่นจุลธาตุจะใช้อัตราสูงหน่อย​ เช่น​ พ่นธาตุรวม​ อัตรา​ 200​ กรัมต่อน้ำ​ 200​ ลิตร​ เมื่อพ่นประจำ​แล้ว​ หลัง ๆ​ จะลดอัตราธาตุรวมลง​ เหลือ​ 100 กรัมต่อน้ำ​ 200​ ลิตร​ ร่วมกับลดการใช้ปุ๋ยสูตร​ P​ สูง

    เหตุที่ยังต้องพ่นจุลธาตุทางใบเสริม​ เพราะถึงในดินจะมีจุลธาตุแล้ว​ แต่การเคลื่อนย้ายในต้นยังถูกจำกัด​ ถ้ามองว่าจะทำคุณภาพหรือเพิ่มผลผลิต​ ก็ต้องเสริม​ด้วยการพ่นทางใบ

ตอบ​ : ครบเรื่องการใช้ปุ๋ยแล้วนะเนี่ย​ อ้อ.. ​ปกติ​พวกยิปซั่ม/โดโลไมท์​ อัตราและวิธีการ​ใส่​ ผมใช้ตามปุ๋ยเคมี​ และสาดดดดดดด​พร้อมกัน

ถาม​ : ไหนแอด.. บอกไม่ให้ผสมกัน แต่ทำไมสาดพร้อมกัน.. คือ​ ยังงัย.? 

ตอบ​ : เคยบอกด้วยเหรอว่าห้ามผสมกัน.!! 

ถาม​ : แล้วผมไปฟังมาจากใหนอะ.? 

ตอบ​ : ไปดูเฟสบุ๊ค​อื่นมาเปล่า อยู่​หลายกลุ่ม​ ตามหลายเฟส งงละสิ… จำไม่ได้ว่าใครบอกห้ามผสมกันหรือหว่านพร้อมกัน

ถาม​ : รู้ทันน 55++

ถาม​ : มันก็ย้อนแย้งนะแอด.. ฟิลเลอร์ในปุ๋ย ก็เป็นโดโลไมด์ เป็นยิปซั่มทั้งนั้น..? 

ตอบ​ : คือ​ ตราบใดที่ไม่ใส่แบบกองไว้ตรงจุดใดจุดหนึ่งไม่มีปัญหาหรอก.. มันไม่เข้มข้น​

    เหมือนปุ๋ยน้ำไฮโดรโพนิกส์​ มีครบทุกธาตุอยู่รวมกัน​ แต่อยู่ในลักษณะ​เจือจาง และก่อนจะผสมใช้​ปุ๋ยน้ำไฮโดรฯ จะแยกเป็นปุ๋ย​ A​ และ​ B​ เพราะเข้มข้น

    อีกอย่าง​ ยังไง ๆ​ พวกยิปซั่มหรือโดโลไมท์​ ก็ละลายแตกตัวได้ธาตุช้ากว่าปุ๋ยเคมีอยู่แล้ว.. ใส่ก่อน-ใส่หลัง​ ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดี อย่างที่คำโบราณท่านว่า​“เนื้อคู่กันแล้ว​ คงไม่แคล้วกัน”

    อย่างมากตอนจับใบแดง​และเข้ากรมกอง​ เมียก็ได้ผัวใหม่ หรือไม่​ ตอนออกจากกรม​ ก็เจอเมียท้องสัก​ 7-8​ เดือน​..

ตอบ : อู้ยย แอดก็นะ

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"