โรคแอนแทรคโนสในมะละกอ: ปัญหาและการป้องกัน

Thirasak Chuchoet • September 30, 2024
โรคแอนแทรคโนสในมะละกอ: ปัญหาและการป้องกัน
โรคแอนแทรคโนสในมะละกอ: ปัญหาและการป้องกัน

    โรคแอนแทรคโนสในมะละกอ เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้ผลผลิตเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือมีฝนตกบ่อย (พื้นที่อื่นก็เกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน)​ โรคนี้เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า ​คอลเล็ตโตทริคั่ม​ (Colletotrichum gloeosporioides)​ ซึ่งสามารถทำลายผลมะละกอทั้งในช่วงที่ยังอยู่บนต้นและหลังการเก็บเกี่ยวได้ ในแปลงมะละกอที่พบการระบาดของโรคแอนแทรคโนสรุนแรงหรือบ่อยครั้งอาจเกิดจากแปลงปลูกสะสมโรคและ/หรือเชื้อราพัฒนาเข้าสู่ระยะสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (ระยะเทเลโอมอฟ; teleomorph) เรียกง่าย ๆ คือร่างที่สองของเชื้อโรค ในระยะนี้เชื้อราจะมีชื่อเรียกว่ากลอเมอเรลล่า (Glomerella cingulata) คล้ายเชื้อราฟิวซาเรียม (Fusarium sp.) ในระยะสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจะเรียกว่าเนคเทรีย (Nectria; ร่างสอง)

อาการของโรคแอนแทรคโนสในมะละกอ

    อาการของโรคแอนแทรคโนสในมะละกอ เริ่มแรกมักปรากฏเป็นจุดสีน้ำตาลดำเล็ก ๆ บนผิวของผลมะละกอ หากปล่อยทิ้งไว้ จุดดังกล่าวจะขยายขนาดใหญ่ขึ้นและลึกลงในเนื้อผล ทำให้ผลเน่าเสีย บ่อยครั้งจะพบว่ารอบขอบเน่าจะเป็นวงเรียงซ้อนกัน มีจุดเม็ดสีดำเล็ก ๆ เรียงซ้อนตามวงนั้น และนอกจากนี้ยังอาจพบคราบสีชมพูหรือสีขาวบนแผลเน่านั้นด้วย

    เมื่อเชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสภาวะที่มีความชื้น จุดที่เกิดจะรวมตัวกันเป็นแผลใหญ่ ส่งผลให้ผลมะละกอเสียหายอย่างรุนแรงและไม่สามารถจำหน่ายได้

การเข้าทำลายของเชื้อแอนแทรคโนสในรูปแบบ เชื้อแฝง ในมะละกอและพืชอื่น ๆ

    หนึ่งในลักษณะสำคัญของ เชื้อโรคแอนแทรคโนส (Colletotrichum gloeosporioides) คือการเข้าสู่ผลมะละกอในรูปแบบของ เชื้อแฝง ซึ่งหมายถึงการที่เชื้อราสามารถเข้าทำลายพืชโดยที่ยังไม่แสดงอาการใด ๆ บนผลมะละกอในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งช่วงเวลานี้เชื้อจะหยุดการเจริญเติบโตและรอจนกว่าสภาวะแวดล้อมจะเหมาะสมก่อนที่จะเริ่มทำลายผลมะละกออย่างเต็มที่ โดยผลมะละกออาจติดเชื้อตั้งแต่ระยะผลอ่อนจนถึงระยะเก็บเกี่ยว (ก่อนผลสุกแก่) ต่อเมื่อผลสุกแก่หรือเกิดกระทบกระเทือนจนผลช้ำหรือเกิดแผล เชื้อโรคแอนแทรคโนสจึงเข้าทำลายผลและเกิดแผลเน่า

    การทำลายของเชื้อในลักษณะนี้จะเป็นปัญหาอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมโรค เนื่องจากผลมะละกออาจดูเหมือนปกติดีในช่วงที่เก็บเกี่ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไปหรือเมื่อผลมะละกอเข้าสู่ช่วงการขนส่งหรือการเก็บรักษา เชื้อราจะเริ่มทำลายและทำให้เกิดแผลเน่าได้ในระยะเวลาอันสั้น

สาเหตุและการแพร่กระจายของเชื้อแฝง

   การเจริญแบบแฝงตัว: เชื้อโรคแอนแทรคโนสสามารถเจริญเติบโตภายในผลมะละกอโดยไม่แสดงอาการเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น ในช่วงอุณหภูมิและความชื้นต่ำ เมื่อผลมะละกอสุกและเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา เช่น การสะสมของน้ำตาลหรือการเปลี่ยนแปลงของผิวผล เชื้อโรคจึงจะเริ่มทำลายผลและเกิดแผลเน่า

ปัจจัยที่กระตุ้นการระบาดของโรคแอนแทรคโนส

   ความชื้นสูง: เชื้อราสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน

   ฝนตกต่อเนื่อง: การที่ฝนตกอย่างต่อเนื่องทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ง่าย และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการขยายตัวของเชื้อ

   ความสมบูรณ์ของต้นและผล: สำหรับมะละกอที่มีการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนสูงมากกว่าปุ๋ยโพแทสเซียมมาก ๆ จะทำให้ต้นและผลมะละกออ่อนแอ่ แม้จะแลดูต้นเติบโตดี ใบมาก ดอกดก แต่นั้นคืออาการโรคอ้วนของมะละกอ หรือในพืชเรียกว่าอาการบ้าใบ

   มีแผลที่ผล: ผลที่ถูกแมลงศัตรูพืชเข้าทำลาย ทั้งจากเพลี้ยไฟและไรแมงมุมเทียม จะเป็นตัวเร่งการเกิดโรคแอนแทรคโนสที่ผลมะละกอ

   การเก็บเกี่ยวและการขนส่งที่ไม่ระมัดระวัง: การขนส่งที่ไม่ระมัดระวังหรือการเก็บเกี่ยวผลมะละกอที่มีแผลสามารถนำไปสู่การติดเชื้อเพิ่มเติมได้ และที่สำคัญผลมะละกอที่ยังไม่แสดงอาการผลเน่าจากโรคแอนแทรคโนสจะปะทุอาการได้ง่าย เพราะผลติดเชื้อโรคในลักษณะเชื้อแฝง

การป้องกันและการควบคุมโรคแอนแทรคโนสในมะละกอ

    1. การคัดเลือกพันธุ์ที่ต้านทานโรค: การใช้พันธุ์มะละกอที่มีความต้านทานต่อโรคแอนแทรคโนสจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคได้ (ส่วนตัวไม่มีความรู้เรื่องสายพันธุ์)

    2. การจัดการพื้นที่ปลูก: ลดความชื้นในพื้นที่ปลูกโดยการปรับพื้นที่ให้มีการระบายอากาศที่ดี

    3. การใช้สารป้องกันและกำจัดโรคพืช: ใช้สารป้องกันเชื้อราที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรค เช่น สารกลุ่ม 11 และกลุ่ม 3 ซึ่งโดยทั่วไปจะเน้นไปที่การใช้สาร อะซอกซี่สโตรบิน+ไดฟิโนโคนาโซล 20%+12.5% (เนื้อครีม) ผสมร่วมกับสารกลุ่ม M3 เช่น แมนโคเซบ 80% (ผง) หรือโพรพิเนบ 70% (ส่วนตัวแนะนำโพรพิเนบ เพราะจะได้ธาตุสังกะสีสูงกว่าแมนโคเซบ) พ่นในอัตรา 15 ซี.ซี. และ 50-60 กรัม (ตามลำดับ) ต่อน้ำ 20 ลิตร เนื่องจากนี้สารป้องกันที่อยากแนะนำ แต่ควรทดลองพ่นดอก ผลอ่อน และใบก่อนใช้ คือ โพรคลอราซ 45% (สารกลุ่ม 3) แต่.!! ย้ำว่าควรทดสอบก่อนใช้งานจริง เนื่องจากโพรคลอราซ 45% หรือ 43% จะอยู่ในรูปยาน้ำมันทั้ง EC และ EW โดยอัตราใช้ที่แนะนำคือ 20 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร

        หรือจะใช้ โพรคลอราซ+คาร์เบนดาซิม 25%+25% (ชื่อการค้าคลอราส์ สารกลุ่ม 3+1) ซึ่งเป็นยาผง โดยพ่นโพรคลอราซ ร่วมกับโพรพิเนบ ในอัตรา 20 ซี.ซี. และ 50-60 กรัม (ตามลำดับ) ต่อน้ำ 20 ลิตร ถ้าใช้โพรคลอราซผง พ่นในอัตรา 30-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ซึ่งอาจพ่นสลับยาดังนี้ โพรคลอราซ ผสมร่วมกับ โพรพิเนบ สลับ อะซอกซี่สโตรบิน+ไดฟิโนโคนาโซล ผสมร่วมกับ โพรพิเนบ

        โดยพ่นระยะก่อนดอกบาน ระยะผลอ่อนจนถึงระยะเก็บเกี่ยว พ่นต่อสลับสารต่อเนื่อง พ่นทุก ๆ 10-14 วัน

    4. การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว: ควรระวังในการขนส่งและเก็บเกี่ยวผลมะละกอไม่ให้เกิดบาดแผล และเก็บผลมะละกอในสภาพที่แห้งสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

       ความชื้นและอุณหภูมิ: เมื่อผลมะละกออยู่ในสภาพที่มีความชื้นสูงหรืออุณหภูมิที่เหมาะสม หรือเก็บผลไว้ในที่อุณหภูมิสูง เชื้อราจะเร่งการเติบโตและทำลายผลได้รวดเร็ว
       
การเก็บเกี่ยวผลที่ยังไม่สุกเต็มที่: ผลมะละกอที่เก็บเกี่ยวในช่วงที่ยังไม่สุกเต็มที่อาจไม่แสดงอาการของโรค แต่เมื่อเริ่มสุก เชื้อแฝงก็จะเริ่มแสดงอาการ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลมะละกอเน่าหลังการเก็บเกี่ยวและในระหว่างการขนส่ง

*ข้อควรระวังในการใช้สารโพรคลอราซสูตรน้ำมัน

  1. ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเกี่ยวกับอัตราการใช้และระยะเวลาการฉีดพ่นอย่างเคร่งครัด
  2. หลีกเลี่ยงการฉีดพ่นในช่วงที่มีลมแรงหรืออากาศร้อนจัด
  3. ไม่ควรผมยาน้ำมันชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติมเมื่อพ่นโพรคลอราซสูตรน้ำมัน

    สรุป

    สารโพรคลอราซ สูตรยาน้ำมัน เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคแอนแทรคโนส สูตรยาน้ำมันช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันและรักษาโรคได้ดี แม้ในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง อย่างไรก็ตาม การใช้สารโพรคลอราซควรทำตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด และทดสอบพ่นก่อนใช้งานจริง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการควบคุมโรคและลดผลกระทบต่อผิวมะละกอ

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"