โรคไวรัสวงแหวนมะละกอ : ภัยร้ายที่ชาวสวนต้องทราบ.!!

Thirasak Chuchoet • October 7, 2024
โรคไวรัสวงแหวนมะละกอ : ภัยร้ายที่ชาวสวนต้องทราบ.!!
โรคไวรัสวงแหวนมะละกอ : ภัยร้ายที่ชาวสวนต้องทราบ.!!
(Papaya Ringspot Virus : A Threat Papaya Growers Must Understand)

    โรคไวรัสวงแหวนมะละกอ เป็นหนึ่งในโรคที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดต่อการปลูกมะละกอทั่วโลก สำหรับประเทศไทยพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2519 และได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว เชื้อไวรัสก่อโรคสามารถเข้าทำลายมะละกอได้ทุกระยะการเจริญเติบโต โดยทำให้ต้นมะละกอแคระแกร็น ใบด่าง ใบเรียวแหลม มีจุดวงแหวนที่ผล ผลมีขนาดเล็กลง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผลมะละกออย่างมาก ผู้ปลูกมะละกอจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ สาเหตุ อาการ วิธีการแพร่ระบาด และวิธีการป้องกันกำจัด เพื่อลดความเสียหายและเพิ่มผลผลิต

เชื้อไวรัสสาเหตุโรคไวรัสวงแหวน

   โรคไวรัสวงแหวนมะละกอ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส : ปาปาย่า ริงค์สปอต ไวรัส (Papaya ringspot virus ชื่อย่อ PRSV) เชื้อไวรัสเป็นอนุภาคกึ่งสิ่งมีชีวิต โดยไวรัสก่อโรคชนิดนี้เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ (RNA) จัดอยู่ในวงศ์โพไทไวริดี้ (Family : Potyviridae) สกุลโพไทไวรัส (Genus : Potyvirus) อนุภาคไวรัสมีลักษณะเป็นแท่งยาว​ ขนาด​ 780x12​ นาโนเมตร เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัสด้วยมือหรืออุปกรณ์การเกษตรจากต้นที่ติดเชื้อไปยังต้นปกติได้​ โดยเฉพาะทางบาดแผล​และถ่ายทอดโดยมีเพลี้ยอ่อนหลายชนิดเป็นพาหะ

    โรคไวรัสวงแหวนมะละกอ มีชนิดย่อย (biotype) ที่สำคัญ 3 ชนิด คือ

  1. เชื้อไวรัสวงแหวน​ ชนิด​ T (PRSV-T)​ พบในมะละกอ
  2. เชื้อไวรัสวงแหวน​ ชนิด​ P​ (PRSV-P ; Papaya biotype)​ พบติดเชื้อในมะละกอและพืชตระกูลแตง
  3. เชื้อไวรัสวงแหวน​ ชนิด​ W (PRSV-W ; Watermelon biotype)​ พบติดเชื้อในพืชตระกูลแตง​ แต่ไม่พบในมะละกอ
การแพร่ระบาด

   การแพร่เชื้อโดยแมลงพาหะ : โรคไวรัสวงแหวนมะละกอมีเพลี้ยอ่อนหลายชนิดเป็นแมลงพาหะถ่ายทอดเชื้อไวรัส เพลี้ยอ่อนที่สำคัญ ได้แก่  เพลี้ยอ่อนฝ้าย​ (Aphis gossypii),​ เพลี้ยอ่อนถั่ว​ (A. craccivora)​ และเพลี้ยอ่อน​ยาสูบ​ (Myzus persicae)​ โดยเพลี้ยอ่อนจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นมะละกอที่ติดโรคทำให้เชื้อไวรัสติดไปกับน้ำลายของเพลี้ยอ่อน แล้วถ่ายทอดเชื้อไวรัสไปสู่ต้นมะละกอต้นอื่นๆ ซึ่งเพลี้ยอ่อนสามารถรับเชื้อและแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการติดเชื้อและกลายเป็นแมลงพาหะ

    การแพร่เชื้อโดยการสัมผัสและอุปกรณ์การเกษตร : เชื้อไวรัสยังสามารถแพร่ระบาดผ่านการสัมผัส โดยการใช้อุปกรณ์การเกษตรสัมผัสต้นที่ติดเชื้อและไปสัมผัสต้นอื่นๆ​ โดยไม่ได้ทำการล้างเชื้อก่อน​ เช่น มีด กรรไกร หรือติดไปกับมือผู้ปฏิบัติงาน

   การแพร่เชื้อโดยเมล็ด : เอกสารบางแหล่งระบุว่า อาจพบเชื้อไวรัสปะปนบนผิวของเมล็ดได้ แต่การแพร่เชื้อผ่านทางเมล็ดยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด

อาการของโรคไวรัสวงแหวนมะละกอ

    มะละกอ​สามารถติดเชื้อไวรัสได้ทุกระยะการเจริญเติบโต​ อาการของโรคไวรัสวงแหวนมะละกอจึงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของมะละกอ ระยะการเจริญเติบโต และสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปจะพบอาการ ดังนี้

   การติดเชื้อไวรัสในระยะต้นกล้า :​ ทำให้เกิดอาการใบด่างเหลือง​ ใบมีขนาดเล็กกว่าปกติ​ รูปทรงของใบผิดรูป​ ใบเรียวแหลม ต้นมะละกอจะชะงักการเจริญเติบโต​และหากเจริญ​ต่อไปได้จนถึงระยะให้ผลผลิต​ การออกดอกและติดผลจะลดลง​ และอาจมีอาการใบยอดหงิก​ ยอดกุด​ คุด​ หรือด้วน​ และอาจยืนต้นตายได้

   การติดเชื้อในระยะออกดอกติดผล :​ ส่วนใหญ่มะละกอมักติดเชื้อในระยะที่เริ่มให้ผลผลิต​ โดยจะพบอาการยอดอ่อนเหลือง​ ใบรองๆ​ ลงมา​ จะมีอาการแต้มสีเหลือง​กระจาย​ และต่อมาใบจะมีลักษณะ​ใบด่างเหลือง​ ใบบิดเบี้ยว​ งอ​ ปลายใบเรียวผิดปกติ

   อาการที่ก้านใบ :​ จะพบอาการจุดช้ำ หรือเป็นทางยาว​สีเขียวเข้ม​ โดยเฉพาะ​บริเวณก้านที่อยู่ติดลำต้น

   อาการที่ผล : ผลจะเป็นจุดวงคล้ายวงแหวน​ เป็นรอยช้ำ​ ในระยะแรกๆ​ ของการติดเชื้อจะพบอาการจุดวงแหวนในผลแก่ใกล้สุก​ และเห็นจุดได้ชัด​กว่าในผลอ่อน​ ผลจะมีขนาดเล็กกว่าต้นที่ไม่ติดเชื้อ​ เมื่อผ่าผลจะพบว่า​ บริเวณที่เป็นจุดวงแหวน​เนื้อผลจะแข็งเป็นไต​ มีสีคล้ำลงเล็กน้อย​ เมื่อผลสุกเนื้อจะมีรสขม

การป้องกันและกำจัด

    เนื่องจากยังไม่มีวิธีการรักษาโรคไวรัสวงแหวนมะละกอให้หายขาดได้ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยมีวิธีการดังนี้

    การป้องกัน

    1. ใช้พันธุ์มะละกอที่ต้านทานโรค : ปัจจุบันมีการพัฒนาพันธุ์มะละกอที่ต้านทานโรคไวรัสวงแหวน เช่น มะละกอสายพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (GM Papaya) ซึ่งสามารถช่วยลดความเสียหายจากโรคได้ หรือการปรับปรุงพันธุ์โดยนำมะละกอพันธุ์​ต้านทาน​ (Vasconcella quercifolia)​ มาผสมข้ามกับพันธุ์อื่นทำให้ได้พันธุ์​มะละกอใหม่ที่มีความสามารถต้านทานไวรัสได้บ้าง​ แต่ผลผลิตและคุณภาพไม่เหมาะแก่การบริโภค

   2. กำจัดต้นที่เป็นโรค : เมื่อพบต้นมะละกอที่แสดงอาการของโรค ควรถอนและทำลายทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไปยังต้นอื่นๆ โดยการขุดรากถอนโคน​ต้นมะละกอไปกลบฝั่ง​ เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดลงได้​ แต่ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง​ซึ่งอาจลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดได้ราว​ 1-2 ปี​ สาเหตุอาจเพราะการกำจัดเศษซากของต้นที่ติดเชื้อได้ไม่หมด

   3. การป้องกันและกำจัดเพลี้ยอ่อน : โดยพ่นสารกำจัดแมลง​ เพื่อควบคุมประชากรเพลี้ยอ่อนซึ่งเป็นแมลงพาหะนำโรคที่สำคัญ เนื่องจากเพลี้ยอ่อน​มีความสามารถในการถ่ายทอดเชื้อไวรัสได้สูง​ และเชื้อไวรัสยังมีพืชอาศัยที่เป็นวัชพืชตามแปลงปลูกหรือแปลงหญ้ารกร้าง​ เช่น​ ตำลึง​ หรือวัชพืชในตระกูลแตงชนิดอื่นๆ ​อย่างไรก็ตามการใช้สารเคมีกำจัดแมลงควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของผู้ใช้พ่นสารด้วย ตัวอย่างสารกำจัดแมลงที่แนะนำใช้กำจัดเพลี้ยอ่อน เช่น ไดโนทีฟูแรน 20% WG อัตรา 10-15 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (เช่น ฟูเรนโน่), ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 30 ซี.ซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร (เช่น แพ็คโปรนิล), ไพมีโทรซีน 50% WG อัตรา 15-20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (เช่น แพ็คโทรซีน) เป็นต้น

    *หมายเหตุ: ห้ามใช้สาร "คลอฟีนาเพอร์" พ่นมะละกอเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการไหม้ที่ใบ ดอกหรือผลได้ง่าย

    4. การใช้วัคซีนหรือการชักนำให้มะละกอสร้างภูมิต้านทาน :​ เป็นหลัก​การเดียวกันกับการใช้วัคซีนในคน​ โดยภาควิชาโรคพืช​ มหาวิทยาลัยเกษตร​ (จารุรัตน์, 2537; วิชัยและคณะ​, 2542) ได้มีการนำไวรัสก่อโรคที่มีความรุนแรงมาทำให้เชื้ออ่อนแอลง แล้วปลูกถ่ายเชื้อให้กับต้นกล้ามะละกอ​ช่วยลดความรุนแรงของเชื้อไวรัสวงแหวนที่ติดเชื้อหลังจากปลูกมะละกอลงได้​ แต่วิธีการนี้มีข้อจำกัดอยู่มาก กล่าวคือ ต้นมะละกอที่ติดเชื้อไวรัสวงแหวนภายหลังจากปลูกถ่ายวัคซีน​ แม้จะแสดงอาการติดโรคลดลงแต่ยังคงมีเชื้อไวรัสอยู่​ และสามารถถ่ายทอดไปยังต้นอื่นได้ นอกจากนี้ วัคซีนยังมีความจำเพาะต่อเชื้อไวรัสบางชนิดเท่านั้น​ ซึ่งไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสได้ทุกชนิด 

    สำหรับการใช้สารบางชนิดเพื่อชักนำภูมิต้านเชื้อไวรัส​แม้ต้นมะละกอจะไม่แสดงอาการติดเชื้อหรือลดการแสดงอาการของโรค แต่ต้นมะละกอยังคงติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สารที่ชักนำภูมิต้านทานเชื้อไวรัส เช่น คอรัส โดยมีคำแนะนำพ่นในอัตรา 10-15 ซี.ซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อพบอาการโรคไวรัสวงแหวนมะละกอ และต้องพ่นต่อเนื่องทุก 7-10 วัน

    5. หลีกเลี่ยงการปลูกพืชอาศัยของเชื้อไวรัส : ไม่ควรปลูกพืชตระกูลแตง เช่น แตงกวา มะระ บวบ ฟักทอง แคนตาลูป  และแตงโม ใกล้กับแปลงมะละกอ เนื่องจากพืชเหล่านี้เป็นพืชอาศัยของเชื้อไวรัสวงแหวนมะละกอ

    6. กำจัดวัชพืช : วัชพืชหลายชนิดเป็นพืชอาศัยของโรคไวรัส เช่น ตำลึง วัชพืชเถาว์เลื้อย และวัชพืชตระกูลแตง เป็นต้น

มะละกอสายพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (GM Papaya)

    มะละกอสายพันธุ์ดัดแปลงพันธุกรรม (GM Papaya) ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อต้านทานโรคไวรัสวงแหวน โดยนำยีนที่สร้างโปรตีนห่อหุ้มไวรัส (coat protein gene) จากเชื้อไวรัส PRSV มาตัดต่อลงในยีนของมะละกอ ทำให้มะละกอสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคได้ มะละกอสายพันธุ์นี้มีชื่อเรียกว่า “UH SunUp” และ “UH Rainbow” ซึ่งได้รับการรับรองให้ปลูกและจำหน่ายในบางประเทศ  อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยทางชีวภาพของมะละกอ GMO ดังนั้น ควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนนำมาปลูก

สรุป

    โรคไวรัสวงแหวนมะละกอเป็นโรคที่สำคัญและสร้างความเสียหายรุนแรงมากต่อผู้ปลูกมะละกอ การป้องกันแมลงพาหะและการจัดการด้วยวิธีผสมผสานเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการลดความเสียหาย ต้นมะละกอที่ติดโรคไวรัสวงแหวนไม่สามารถรักษาให้หายขาด การปล่อยต้นติดเชื้อเก็บไว้เป็นการสะสมเชื้อและเป็นแหล่งแพร่เชื้อไวรัสสู่ต่ออื่นๆ ต่อไป

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts