เพลี้ยหอยเกล็ดใต้ใบทุเรียน (รัสเซลล์)

Thirasak Chuchoet • May 29, 2024
เพลี้ยหอยเกล็ดรัสเซลล์.!! ในทุเรียน

เพลี้ยหอยสกุล Pit scale ศัตรูพืชที่สำคัญอีกชนิดของทุเรียนเล็ก

    เพลี้ยหอยเกล็ดรัสเซลล์

    ชื่อวิทยาศาสตร์: แอสเทอโรเลคาเนียม อันกูลาตั่ม (Asterolecanium ungulatum Russell)

    วงศ์ (Family): แอสเทอโรเลคาไนดี้ (Asterolecaniidae)

    วงศ์ใหญ่ (Superfamily): คอกคอยดี้ (Coccoidea)

    อันดับ (Order): เฮมิพเทอร่า (Hemiptera)

รูปร่างลักษณะ

    เพลี้ยหอยที่พบบริเวณใต้ใบทุเรียนและบางครั้งแพร่ระบาดเพิ่มจำนวนประชากรเพลี้ยมากๆ จะพบตามกิ่งอ่อน-ยอดอ่อน โดยเฉพาะในทุเรียนปลูกใหม่ ถึงอายุ 2 ปี เพลี้ยหอยชนิดนี้มีลักษณะทรงกลม ลำตัวแบน​ หลังนูนขึ้นเล็กน้อย​ มีไขเคลือบลำตัวสีขาวใสปกคลุมลำตัว เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะมีสีเหลือง​ ในระยะแรกลำตัวจะมองเห็นเป็นสีขาวขุ่นเนื่องจากยังไม่มีตัวอ่อนอยู่ใต้ท้อง​ แต่เมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อนใต้ท้องตัวแก่วัยเจริญพันธุ์จึงเห็นเป็นสีเหลืองอ่อน

    เพลี้ยหอยชนิดนี้ เป็นเพลี้ยหอยในสกุลเพลี้ยหอยเกล็ด (pit scale) ถูกจำแนกชนิดและตีพิมพ์ลงในเอกสาร  "A classification of the scale insect genus Asterolecanium" ในปี ค.ศ. 1941​ โดยหลุยส์ รัสเซลล์ หรือหลุยส์ รุสเซลล์ (Louise May Russell) รายงานฉบับนี้พบครั้งแรกที่หมู่เกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย สิงคโปร์​ บรูไน และมาเลเซีย ในประเทศไทยผู้เขียนพบครั้งแรกที่ จังหวัดชุมพร และสุราษฎร์ธานี ราวปี พ.ศ. 2560 ต่อมาพบในจังหวัดสมุทรสงคราม โดยเพลี้ยติดมากับต้นพันธุ์จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และต่อมาพบตามภาคตะวันออกบางพื้นที่​ เพลี้ยหอยรัสเซลล์เป็นเพลี้ยที่อยู่ในวงศ์ใหญ่ (Superfamily)  คอกคอยดี้ (Coccoidea) เช่นเดียวกับเพลี้ยแป้ง-เพลี้ยหอยชนิดอื่นๆ สำหรับชื่อ​  "เพลี้ยหอยรัสเซลล์"​ เป็นการเรียกชื่อ​เพื่อให้เกียรติแก่ผู้จำแนกชนิด (อย่างไม่เป็นทางการ)​

ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบทุเรียนมูซังคิง อายุต้น 5 ปีเศษ

ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum ดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและกิ่งก้านของทุเรียนอายุน้อย

ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum ดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อนและกิ่งก้านของทุเรียนอายุน้อย

การเข้าทำลาย

    การทำลายของเพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ส่วนมากพบในต้นกล้าพันธุ์ทุเรียน และทุเรียนปลูกใหม่ อายุไม่เกิน 2-3 ปี แต่หากกำจัดไม่หมดหรือปล่อยปละอาจพบในทุเรียนอายุมากกว่านี้ได้​ เพลี้ยหอยเข้าทำลายโดยดูดกินน้ำเลี้ยงอยู่บริเวณใต้ใบแก่ทุเรียน ทำให้หน้าใบเป็นจุดแต้มเหลืองกระจายทั่วใบ ทำให้ใบอายุสั้นลง ใบแห้งกร้านและหลุดล่วงในเวลาต่อมา หากเข้าทำลายตั้งแต่ระยะใบอ่อนหรือยอดที่เกิดใหม่จะทำให้ใบเหลืองหงิกงอ ในทุเรียนเล็กที่ขาดการดูแลเพลี้ยสามารถแพร่ขยายจำนวนและดูดกินน้ำเลี้ยงได้เกือบทั้งต้น

    ในทุเรียนปลูกใหม่ พบว่า เพลี้ยหอยเกล็ดสามารถดูดกินน้ำเลี้ยงตามก้านใบอ่อนและกิ่งยอดอ่อน ทำให้กิ่งก้านใบอ่อนม้วนงอ ข้อสั้น ใบอ่อนหงิกงอม้วนลงและตามหน้าใบเป็นจุดสีเหลือง ต้นแคระแกร็น และชะงักการเจริญเติบโต

วงจรชีวิต

    เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum ยังไม่พบรายงานการศึกษาวงจรชีวิต​ แต่หากอ้างอิงสกุลของเพลี้ยหอยเกล็ดแอสเทอโรเลคาเนียม(Genus: Asterolecanium)​ พบว่า เพลี้ยหอยในสกุลนี้หลายชนิดสามารถแพร่พันธุ์​โดยไม่ต้องผสมพันธุ์​ได้​ (parthenogenesis)​ เช่น​ เพลี้ยหอยเกล็ดปุสทูเลนส์​ (A. pustulans)

    เพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum วางไข่และฟักเป็นตัวอ่อน​อยู่ภายในใต้ท้องของตัวเต็มวัยเพศเมีย​ (วัยสืบพันธุ์) ตัวอ่อนที่ฟักออกมาของเพลี้ยสกุลนี้ส่วนใหญ่​ตัวอ่อนเพศเมียจะมี​ช่วงวัยที่เป็นตัวอ่อน 3 ช่วง​ ส่วนตัวอ่อนเพศผู้ มี 5 ช่วงวัย​

   ตัวอ่อนวัยคลาน​ (crawlers):​ ตัวอ่อนวัยนี้จะมีขา​ 3 คู่​ และคลานออกจากใต้ท้องตัวเต็มวัย เคลื่อนที่เพื่อหาจุดที่จะดูดกินน้ำเลี้ยงของพืช

   ตัวอ่อนวัย​ 1-4​ (instar 1St - 4th): ตัวอ่อนวัยคลานเมื่อลอกคราบเป็นตัวอ่อนในวัยถัดไปจะมีขาหดสั้นลง​ ดังนั้น ตัวอ่อนในวัย​ 1-4 จะเคลื่อนที่ได้น้อยมาก​ และจะขยับตัวไปไม่ไกลจากจุดแรกที่เจาะดูดกินน้ำเลี้ยง

   ตัวเต็มวัย​ หรือตัวแก่ /วัยเจริญพันธุ์ (Adults): ​เพศเมีย จะมีการฝั่งตัวลงไปในเนื้อเยื่อพืชเล็กน้อยและจะไม่เคลื่อนที่อีก​ ส่วนเพศผู้จะมีปีก

ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum และกลุ่มไข่กับตัวอ่อนที่อยู่ใต้ท้องตัวเต็มวัยเพศเมีย

การกำจัด

    เนื่องจากเพลี้ยหอยเกล็ด A. ungulatum อยู่ตามใต้ใบ​และมีไขเคลือบ​ลำตัว​ โดยไขเคลือบมีลักษณะเช่นเดียวกับไขขี้ผึ้ง​ ดังนั้น น้ำจะเกาะลำตัวเพลี้ยค่อนข้างน้อยหรือไม่ได้​ การพ่นสารกำจัดแมลงที่เป็นสูตรผสมสารในรูปน้ำ​ ผง​ ยาเม็ด​ และน้ำเนื้อครีม จึงเป็นข้อจำกัดค่อนข้างมาก หากเลือกใช้สารกำจัดแมลงในรูปสูตรดังที่กล่าว มีความจำเป็นจะต้องใช้สารเคลือบผิวที่เป็นน้ำมัน (ออยล์: oils) ผสมร่วมด้วย เช่น ไวท์​ออยล์ หรือพาราฟินออยล์​ เพื่อเสริมการเคลือบไข ยืดเกาะและสารเข้าสู่ลำตัวของเพลี้ยได้ดียิ่งขึ้น

    จากการติดตามสังเกตุและทดสอบซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง​ของผู้เขียน พบว่า​ สารกำจัดแมลง กลุ่ม​ 1B​ เช่น​ โพรฟีโนฟอส​ 50% (ชื่อการค้า เช่น  พีโป้) ไดอะซินอน 60% และพิริมิฟอส​ 50% ให้ผลดีในการกำจัด[1]​ อัตราใช้ 350-400 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร และควรพ่นเน้นไปที่ใต้ใบ​ นอกจากนี้ การใช้สารกำจัดแมลงกลุ่มกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง จะช่วยลดการแพร่ระบาดหรือกำจัดเพลี้ยได้ดียิ่งขึ้น เช่น สารกำจัดแมลง กลุ่ม 7C ได้แก่ ไพริฟรอกซิเฟน 10% (ชื่อการค้าที่ขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร[2] ชื่อการค้า (ณ เดือน พ.ค.67) ได้แก่  แพ็คซิเฟน) โดยใช้อัตรา 250-300 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร สารกำจัดแมลงยับยั้งการเจริญของแมลงอีกกลุ่มที่พอใช้ได้ คือ กลุ่ม 16 ได้แก่ บูโพรเฟซีน 40% (ตัวอย่าง ชื่อการค้า เช่น  แพ็คบูซิน) อัตราแนะนำขั้นต้น 300 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร ขึ้นไป[3]

    เนื่องจากเพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum ออกไข่และมีตัวอ่อนระยะแรกอยู่ใต้ท้อง จึงมีความจำเป็นต้องพ่นสารกำจัดแมลงซ้ำ 2-4 ครั้ง​ โดยพ่นทุก​​ 10-14 วัน​ ต่อเนื่อง​ และหลังจากนั้นราว​ 1.5-2 เดือน​ ควรพ่นซ้ำ​อีก​ 2​ ครั้งทุก​ 10-14​ วัน

   ข้อสังเกตุ: สารกำจัดแมลง กลุ่ม​ 4A และกลุ่ม 23 แม้จะมีคุณ​สม​บัติดูดซึมที่ดี​ แต่ประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยหอย-เพลี้ยแป้งมักไม่ค่อยได้ผลตามที่คาดหวัง

[1] โพรฟีโนฟอส​, ไดอะซินอน และพิริมิฟอส​ มีกลิ่นฉุน หรือเหม็นค่อนข้างสูง

[2] ไพริฟรอกซิเฟน 10% ปัจจุบันหลังมีกระแสในการป้องกันกำจัดเพลี้ยได้ดี จึงมีผู้จัดจำหน่ายนำสารดังกล่าวที่ไม่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรมาจำหน่ายมากขึ้น

[3] ข้อสังเกตุ สาร “ไพริฟรอกซิเฟน”​ มีประสิทธิภาพมากกว่า​ “บูโพรเฟซีน” ในการกำจัดเพลี้ยหอย-เพลี้ยแป้ง อาจเพราะมีการใช้สารกลุ่ม 16 กันมานานและมักใช้อัตราที่ต่ำกว่าอัตราแนะนำ (บูโพรเฟซีน 40% อัตราต่ำกว่าอัตราแนะนำ เช่น 100-200 ซีซี. ต่อน้ำ 200 ลิตร)

ภาพ: เพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum ที่กำลังจะสิ้น ส่วนตัวอ่อนที่อยู่ใต้ท้องยังมีชีวิตเป็นปกติและคลานออกมาจากท้องตัวเต็มวัย

ภาพ: เชื้อราเหลืองเข้ากินซากและเจริญเติบโตในซากของเพลี้ยหอยเกล็ด  A. ungulatum

แหล่งสืบค้น: 

    พิสูทธิ์ เอกอำนวย.2566.โรคและแมลงศัตรูพืชที่สำคัญ 2023 Diseases and Pests of Economic Importance Update 2023 edition.พิพิธภัณฑ์แมลงสยาม (Siam Insect-Zoo & Museum).พิมพ์ที่ บริษัทอมรินทร์พริ้นตอ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).1067 หน้า

    เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตร.2559.การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชกะหล่ำ เทคนิคการพ่นสารฆ่าแมลงในพืชผักและกลไกการต้านทานสารฆ่าแมลงของแมลงศัตรูผักที่สำคัญ.กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร.จัดทำโดย สมาคมกีฏและสัตววิทยาแห่งประเทศไทย.86 หน้า.

    Louise May Russell.1941.A classification of the scale insect genus Asterolecanium.Miscellaneous publication / United States Department of Agriculture, no. 424.Washington, D.C, U.S. Dept. of Agriculture, 1941.322 page.

    IRAC.2019.Insecticide Mode of Action Training slide deck IRAC MoA Workgroup Version 1.0, April 2019.

    (https://irac-online.org)

    IRAC.2024.MODE OF ACTION CLASSIFICATION SCHEME VERSION 11.1, JANUARY 2024.

    (https://irac-online.org)

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts