แมลงหวี่ขาวพาหะเชื้อโรคไวรัสในพืช

Thirasak Chuchoet • June 16, 2024
แมลงหวี่ขาวพาหะเชื้อโรคไวรัสในพืช

    แมลงหวี่ขาว​ มีปากแบบเจาะดูดและดูดน้ำเลี้ยงภายในเซลล์พืชเหมือนยุง​ที่ดูดเลือด การเจาะดูดนี้จะทำให้เซลล์พืชเกิดความเสียหาย​ เซลล์สูญเสียของเหลวจากการเจาะดูดและของเหลวไหลออกสู่ภายนอกเซลล์​ เซลล์เจริญพัฒนาผิดปกติ​ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่ถูกเจาะจะชะงัก​งัน ในขณะที่เซลล์ข้างเคียง​เจริญ​พัฒนาต่อไปได้​ จึงทำให้เกิดการบิดงอของใบ

    แต่ในแรกทีเดียวใบอาจยังไม่แสดงอาการประเหลือง​ แถบเหลือง​ ด่างเหลือง​ (yellowing), ใบด่าง​ ด่างเขียว​ (mosaic), ใบแข็งกระด้าง​ ใบหนาเล็กไม่ขยาย​ ใบบิด​ ปูด​ หงิกงอ​ ผลเป็นตะปุ่มตะป่ำ​ (leaf and fruit deformation), เกิดจุดเนื้อตาย​ (necrosis)​ และต้นแคระเกร็น​ ชะงัก​การเจริญ​ (stunting) อาการเหล่านี้จะปรากฏ​ก็ต่อเมื่อ​แมลงหวี่ขาวที่เข้าทำลายพืชนั้นมีเชื้อไวรัสก่อโรคพืชติดมาด้วย

    การติดเชื้อไวรัสของแมลง​และสามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสไปสู่พืช เรียกว่า​ "แมลงพาหะ"​ เช่นเดียวกับยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคไวรัสไข้เลือดออก

    การเป็นพาหะเชื้อไวรัสก่อโรคพืชของแมลงศัตรูพืช​ เช่น​ ​แมลงหวี่ขาว​ เพลี้ยอ่อน​ ด้วงเต่าแตง​ เพลี้ยไฟ หรือไส้เดือนฝอย​ จะมีลักษณะ​ 2 ประการ​ คือ

   1. พาหะไวรัสชั่วคราว​ (nonpersistent) แบ่งออกเป็น​ 2 แบบ​ ตามความเร็วในการเป็นพาหะ​ ได้แก่

     1.1​ พาหะไวรัสชั่วคราว​ (nonpersistent)​ แมลงหวี่ขาวจะติดเชื้อไวรัสอย่างรวดเร็วภายหลังเจาะดูดน้ำเลี้ยงจากพืชที่ติดโรคไวรัส​ โดยใช้เวลาเพียงเสี้ยว​วินาทีจนถึง​ 1-2 วินาที​ และเป็นพาหะไปก่อโรคในพืชต้นอื่นได้ทันที

     1.2​ พาหะไวรัสกึ่งชั่วคราว (semipersistent) แมลงหวี่ขาวใช้เวลาติดเชื้อนานมากกว่า​ 1 ชม.​ แต่การเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อไวรัสจะมีประสิทธิภาพ​มากกว่า​ nonpersistent

      การติดเชื้อทั้ง​ 2 ลักษณะ​นี้​ เชื้อไวรัสจะติดอยู่ในส่วนของปากเจาะดูด​ หลอดอาหารหรือเข้าไปถึงเพียงแค่กระเพาะอาหาร​ส่วนหน้าเท่านั้น​ หากมีการลอกคราบเพื่อเจริญวัยเชื้อไวรัสจะหมดไปและไม่เป็นพาหะนำโรค

   2. พาหะไวรัสถาวร​ (persistent)​ แบ่งออกเป็น​ 2 ลักษณะ​

     2.1​ ไม่ถ่ายทอดเชื้อไปสู่แมลงรุ่นถัดไป​ (nonpropagative)​ แมลงที่ติดเชื้อแบบพาหะไวรัสถาวร​ เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะอาหาร​ส่วนกลางของเพลี้ยและเคลื่อนย้ายเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือด​ และเข้าสู่ต่อมน้ำลาย

     2.2​ ถ่ายทอดเชื้อไปสู่แมลงรุ่นถัดไป​ (propagative)​ กรณีเป็นพาหะแบบ​ propagative​ เชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายของแมลงเช่นเดียวกับ nonpropagative และจะเข้าสู่ส่วนของอวัยวะสืบพันธุ์​ และท่ายทอดเชื้อไวรัสสู่แมลงในรุ่นถัดไปผ่านท่อรังไข่​

      ส่วนใหญ่ไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายของเพลี้ยมักไม่ก่อโรคต่อเพลี้ย​ แม้จะมีการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส​ แต่ไวรัสบางชนิดก็อาจสร้างความเสียหายต่อเพลี้ยได้

    ไวรัส​ (virus)​ มาจากคำว่า​ "ไวโร (viro หรือ​ vir)​" ซึ่งแปลว่า​ สารพิษ​ (poison /toxin) โดยไวรัสชนิดแรกที่ค้นพบคือ​ ไวรัสโรคใบด่างยาสูบ​ (Tobacco Mosaic Virus; TMV) ไวรัสเป็นอนุภาคกึ่งสิ่งมีชีวิต​ และเป็นปรสิตของเซลล์สิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง​ (obligatory intracellular parasite) เนื่องด้วยอนุภาคของไวรัสไม่มีอวัยวะหรือออร์แกเนลล์ที่ชื่อ​ ไรโบโซม จึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนไวรัสได้เอง​ จะต้องอาศัยไรโบโซมของสิ่งมีชีวิตในการสังเคราะห์โปรตีนอนุภาคของไวรัส​ เนื่องจากไวรัสประกอบขึ้นจากอาร์เอ็นเอสายเดี่ยวหรือสายคู่​ (ssRNA /dsRNA) หรือดีเอ็นเอสายเดี่ยวหรือสายคู่​ (ssDNA /dsDNA) เท่านั้น​ มีส่วนห่อหุ้ม​ที่เป็นโปรตีนเรียกว่า "แคพซิด" ก่อให้เกิดรูปร่างของอนุภาคไวรัสเป็นแบบ​ทรงเหลี่ยมหลายด้าน​ ราว​ 20​ ด้าน (ไอโคซะฮีดรอล​ : icosahedral)​ แบบทรงกระบอก​ (เฮลิคอล : helical) และรูปทรงซับซ้อน​ (คอมเพล็กซ์​ : complex) หากไวรัสมีส่วนห่อหุ้ม​อีกชั้นทีเรียกว่า  ​"เอนวีลอฟ (envelope)" จะมีหนาม​ (spikes) จัดเป็นรูปทรงแบบคอมเพล็กซ์​

    ไวรัสเมื่อเข้าสู่เซลล์พืชได้​ จะเข้ายึดไรโบโซมและสั่งการ​ไรโบโซมให้สังเคราะห์สารพันธุกรรมไวรัส​ ซึ่งทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนขึ้น​ ไรโบโซมจะสังเคราะห์สารพันธุกรรม​และโปรตีนห่อหุ้มของไวรัส​ ​เกิดการรวมตัวของโปรตีนและพันธุกรรมเป็นอนุภาคไวรัส​ ทำให้การสังเคราะห์​โปรตีนตามธรรมชาติของพืชผิดปกติ​ เกิดอาการใบเหลือง​ ด่าง​ ใบผิดรูปทรง​ (mosaic, yellowing และ​ deformation) 

    อนุภาคไวรัสจะเคลื่อนตัวออกจากเซลล์หนึ่งและเข้าสู่เซลล์อื่น​ ไวรัสบางชนิดที่เคลื่อนออกจากเซลล์อาจใช้วิธีแทงทะลุเซลล์ออกมา​ ซึ่งทำให้เซลล์พืชเสียหายและเกิดอาการเนื้อเยื่อเป็นจุดตาย​ (necrosis) ปัจจุบันยังไม่มียารักษาหรือยับยั้งเชื้อไวรัส​ หากพืชแข็งแรงพอและมีภูมิคุ้มกัน​จะสามารถขับไวรัสออกไปได้​ แต่ปกติพืชที่ติดเชื้อไวรัสจะเกิดโรคและทำให้ต้นทรุดโทรม​ เคยมีการศึกษาการใช้สารเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสในพืช (มะละกอ เพื่อควบคุมโรคไวรัสใบจุดวงแหวน) แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากพืชยังคงมีเชื้อไวรัสในเซลล์และจะเป็นพาหะถ่ายทอดเชื้อไวรัสไปสู่พืชต้นอื่นๆ ต่อไปได้

    นอกจากการติดเชื้อผ่านแมลงพาหะ​แล้ว​ การสัมผัสของเหลวจากต้นติดเชื้อแล้วไปสัมผัสต้นอื่น​ จะเป็นการ​ถ่ายทอดเชื้อไวรัสเช่นกัน​ เช่น​ การตัดแต่งกิ่ง​ ติดตา​ ทาบกิ่ง​ ตอนกิ่ง​ เชื้อไวรัสบางชนิดถ่ายทอดผ่านไปกับเมล็ดพันธุ์และส่วนขยายพันธุ์​ การถ่ายทอดเชื้อของไวรัสแต่ละชนิด​ สามารถถ่ายทอดได้หลายวิธี​ ทั้งแมลงพาหะ​ การสัมผัสและส่วนขยายพันธุ์

ยาแมลง กลุ่ม 1 ออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
By Thirasak Chuchoet June 11, 2025
ยาแมลง กลุ่ม 1 กลไกออกฤทธิ์โดยเข้าจับกับเอนไซม์อะซิทิลโคลีนเอสเทอเรสและมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้แมลงชักกระตุกและลาโลก
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความ
By Thirasak Chuchoet June 3, 2025
โรคราปื้นดำบนผลมะม่วง เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกมะม่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง โรคนี้แม้จะไม่ทำให้เนื้อผลมะม่วงเน่าเสียโดยตรง แต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพภายนอกของผล
คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต
By Thirasak Chuchoet May 28, 2025
สารกำจัดแมลงกลุ่ม 14 มีจำหน่ายเพียงสารเดียว คือ คาร์เทปไฮโดรคลอไรด์ กลไกออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง คุมควบกล้ามเนื้อไม่ได้ นำไปสู่ภาวะเป็นอัมพาตอ่อนแรง (Flaccid Paralysis) และลาโลกไป
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจ
By Thirasak Chuchoet May 27, 2025
เรื่องราวเกี่ยวกับคำศัพท์และความหมายของกลไกการออกฤทธิ์ของสารกำจัดศัตรูพืช เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการศึกษาเรื่องกลไกออกฤทธิ์
กลไกออกฤทธิ์ (Mode of Action) ของยากลุ่ม 19 ทำให้ไรเกิดอาการตื่นตัว ใจเต้นแรง สั่นและความดันขึ้นสูง
By Thirasak Chuchoet April 29, 2025
ยากลุ่ม 19: อะมิทราซ ทางเลือกสลับกลุ่มยาไร.!!
    ATP: Adenosine Triphosphate เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อพืช
By Thirasak Chuchoet April 25, 2025
ATP หรือ “เอทีพี” ย่อมาจาก อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (Adenosine Triphosphate) เป็นสารชีวเคมีที่กักเก็บและปลดปล่อยให้พลังงานสูงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชทุกชนิด
แจกสูตร ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอกและสูตรเบรกใบอ่อน
By Thirasak Chuchoet April 23, 2025
แจกสูตร.!! ผสมปุ๋ยเกล็ดพ่นทางใบโดยใช้แม่ปุ๋ยดวงตะวันเพชร สูตรสะสมอาหารก่อนเปิดตาดอก และสูตรเบรกใบอ่อน-บล็อกใบอ่อน
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกคีเลต
By Thirasak Chuchoet April 22, 2025
เลือกใช้แมกนีเซียม (Mg) ตัวไหนดี.. ระหว่างแมกนีเซียมไนเตรท, แมกนีเซียมซัลเฟตเฮพตะไฮเดรต หรือแมกนีเซียมคีเลต
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
By Thirasak Chuchoet April 21, 2025
ปุ๋ยแคลเซียมคลอไรด์ไม่ใช่ปุ๋ยร้อน ดั่งการอุปมาอุปไมยเป็นยาร้อน-ยาเย็น
เอกสาร
By Thirasak Chuchoet January 4, 2025
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการบรรยาย "การดูดซึมปุ๋ยและอาหารเสริมทางใบ"
More Posts